แสวงหาทรัพย์แท้
“ให้ใช้ทรัพย์ที่คุณมีในโลกนี้เพื่อผูกมิตรกับคนอื่นไว้”—ลูกา 16:9
1, 2. ทำไมถึงมีคนจนตลอดสมัยสุดท้ายนี้?
ระบบเศรษฐกิจในทุกวันนี้มีแต่ความไม่ยุติธรรมและโหดร้าย ตัวอย่างเช่น วัยรุ่นหลายคนหางานทำยากมาก ส่วนคนอื่นถึงกับยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อย้ายไปประเทศที่ร่ำรวย และแม้จะเป็นประเทศที่ร่ำรวยก็ยังมีคนยากจนมากมาย ทั่วโลกคนที่รวยก็รวยขึ้น ส่วนคนจนก็จนลง เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการประมาณกันว่ากลุ่มคนที่รวยที่สุดจำนวน 1 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลกมีเงินเท่ากับเงินของประชากรโลกอีก 99 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือรวมกัน คงไม่มีใครจะปฏิเสธได้ว่าในตอนนี้บางคนมีเงินเหลือใช้จนชั่วลูกชั่วหลานก็ยังไม่หมด ในขณะที่อีกหลายพันล้านคนยังยากจน พระเยซูรู้เรื่องนี้ดีและบอกว่า “คนจนจะอยู่กับพวกคุณไปตลอด” (มก. 14:7) ทำไมถึงมีความไม่ยุติธรรมแบบนี้เกิดขึ้น?
2 พระเยซูรู้ดีว่ารัฐบาลของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงระบบการค้าของโลกได้ คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่าทั้งระบบการเมือง ระบบศาสนา และ “พวกพ่อค้า” หรือระบบการค้าเป็นส่วนหนึ่งของโลกซาตาน (วว. 18:3) ประชาชนของพระเจ้าสามารถแยกตัวออกมาอย่างเด็ดขาดจากการเมืองและศาสนาเท็จ แต่ พวกเขาส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกตัวอย่างสิ้นเชิงจากระบบการค้าของโลกซาตานได้
3. เราจะคุยกันเกี่ยวกับคำถามอะไรบ้าง?
3 พวกเราที่เป็นคริสเตียน เราต้องตรวจดูตัวเองว่าเราคิดอย่างไรกับระบบการค้าของโลก เราอาจถามตัวเองว่า ‘ฉันจะใช้ทรัพย์สมบัติของฉันยังไงเพื่อแสดงว่าฉันซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า? ฉันจะยุ่งเกี่ยวกับระบบการค้าของโลกให้น้อยลงได้ยังไง? มีประสบการณ์อะไรบ้างที่แสดงให้เห็นว่าผู้รับใช้ของพระเจ้าในทุกวันนี้วางใจพระองค์อย่างเต็มที่?’
ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องผู้จัดการขี้โกง
4, 5. (ก) เกิดอะไรขึ้นกับผู้จัดการในตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซู? (ข) พระเยซูบอกให้สาวกทำอะไร?
4 อ่านลูกา 16:1-9 เราทุกคนน่าจะคิดใคร่ครวญตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูเรื่องผู้จัดการขี้โกง มีคนมาฟ้องว่าผู้จัดการคนนี้ทำให้กิจการของเศรษฐีเสียหาย เขาจึงถูกไล่ออก * แต่ผู้จัดการคนนี้ “ลงมือทำอย่างฉลาด” โดยที่ก่อนจะออกจากงานเขาพยายามผูกมิตรกับคนอื่นที่อาจช่วยเขาได้ทีหลัง พระเยซูไม่ได้เล่าตัวอย่างเปรียบเทียบนี้เพราะอยากให้สาวกขี้โกงเพื่อจะเอาตัวรอดในโลกทุกวันนี้อย่างที่คนทั่วไปทำกัน แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พระเยซูใช้ตัวอย่างนี้สอนบทเรียนหนึ่งที่สำคัญมาก
5 เหมือนกับผู้จัดการในตัวอย่างเปรียบเทียบที่จู่ ๆ ก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก พระเยซูรู้ว่าเป็นเรื่องยากมากสำหรับสาวกส่วนใหญ่ที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่ยุติธรรมนี้ ท่านจึงบอกพวกเขาว่า “ให้ใช้ทรัพย์ที่คุณมีในโลกนี้ [ทรัพย์อธรรม, เชิงอรรถ] เพื่อผูกมิตรกับคนอื่น [พระยะโฮวาและพระเยซู]” ทำไมท่านถึงพูดอย่างนั้น? ท่านบอกสาวกว่า “เพราะเมื่อทรัพย์นั้นหมด” พระยะโฮวาและพระเยซูซึ่งเป็นเพื่อนหรือมิตรจะ “รับคุณไปอยู่ในที่อยู่ถาวร” เราได้เรียนอะไรจากคำแนะนำนี้?
6. เรารู้ได้อย่างไรว่าระบบการค้าของโลกในทุกวันนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความประสงค์ของพระเจ้า?
6 ถึงแม้พระเยซูไม่ได้อธิบายว่าทำไมท่านถึงเรียกทรัพย์สมบัติว่าเป็น “ทรัพย์อธรรม” แต่คัมภีร์ไบเบิลก็บอกชัดเจนว่าการทำธุรกิจหรือการหาเงินให้ได้มาก ๆ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความประสงค์ของพระเจ้า ตัวอย่างเช่น พระยะโฮวาให้สิ่งจำเป็นต่าง ๆ กับอาดัมและเอวามากเกินกว่าที่พวกเขาต้องการ ในสวนเอเดนอาดัมและเอวาไม่ต้องจ่ายเงินซื้อสิ่งต่าง ๆ (ปฐก. 2:15, 16) นอกจากนั้น เนื่องจากพระเจ้าให้พลังบริสุทธิ์กับผู้ถูกเจิมในศตวรรษแรก พวกเขาจึง “เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่มีใครถือว่าสิ่งที่เขามีเป็นของตัวเอง แต่พวกเขาเอาสิ่งของทั้งหมดมารวมกันเป็นกองกลาง” (กจ. 4:32) อิสยาห์พยากรณ์ไว้ว่าวันหนึ่งทุกคนจะได้ประโยชน์จากผลผลิตทุกอย่างบนโลกฟรี ๆ (อสย. 25:6-9; 65:21, 22) แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น สาวกของพระเยซูต้อง “ลงมือทำอย่างฉลาด” พวกเขาต้องมี “ทรัพย์ที่มีในโลกนี้” เพื่อจะมีชีวิตอยู่ได้ และในเวลาเดียวกันก็ต้องพยายามทำให้พระเจ้าพอใจด้วย
ใช้ทรัพย์ที่คุณมีในโลกนี้อย่างฉลาด
7. ที่ลูกา 16:10-13 พระเยซูให้คำแนะนำอะไร?
7 อ่านลูกา 16:10-13 ผู้จัดการในตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูพยายามผูกมิตรกับคนอื่นเพื่อจะได้ผลประโยชน์ แต่พระเยซูอยากให้สาวกผูกมิตรกับเพื่อนผู้อยู่ในสวรรค์โดยไม่คิดถึงผลประโยชน์ ท่านอยากให้เราเข้าใจว่าวิธีที่เราใช้ทรัพย์สมบัติของเราจะเป็นการพิสูจน์ว่า เราซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าหรือไม่ ให้เรามาดูว่าเราจะใช้ทรัพย์สมบัติเพื่อทำแบบนั้นได้อย่างไร
8, 9. ขอยกตัวอย่างของพี่น้องบางคนที่แสดงความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าโดยใช้ทรัพย์สมบัติของพวกเขา
8 วิธีหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าเราซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าโดยใช้ทรัพย์สมบัติของเราก็คือ การบริจาคสำหรับงานประกาศทั่วโลกซึ่งเป็นงานที่พระเยซูบอกไว้ล่วงหน้า (มธ. 24:14) ให้เรามาดูตัวอย่างด้วยกัน เด็กผู้หญิงคนหนึ่งในอินเดียเก็บเงินในกระปุกออมสิน เธอใส่เงินลงไปวันละนิดวันละหน่อย และถึงกับอดใจไม่ซื้อของเล่นเพื่อจะเก็บเงินไว้ พอกระปุกนั้นเต็ม เธอก็บริจาคเงินทั้งหมดเพื่องานประกาศ อีกตัวอย่างหนึ่งคือพี่น้องชายคนหนึ่งในอินเดียที่มีสวนมะพร้าว เขาบริจาคมะพร้าวจำนวนมากให้กับสำนักงานแปลท้องถิ่นที่แปลภาษามาลายาลัม เนื่องจากสำนักงานแปลนั้นต้องซื้อมะพร้าวอยู่แล้ว พี่น้องชายคนนี้เลยรู้สึกว่าการบริจาคมะพร้าวก็ดีกว่าบริจาคเงิน ซึ่งนี่เป็นวิธีหนึ่งที่เป็นการ “ลงมือทำอย่างฉลาด” พี่น้องในประเทศกรีซก็ทำคล้าย ๆ กัน พวกเขาบริจาคน้ำมันมะกอก ชีส และอาหารอื่น ๆ ให้ครอบครัวเบเธลเป็นประจำ
9 พี่น้องชายอีกคนหนึ่งในประเทศศรีลังกาให้ใช้บ้านและที่ดินของเขาสำหรับการประชุมประชาคม การประชุมใหญ่ และยังให้ผู้รับใช้เต็มเวลามาพักด้วย พี่น้องคนนี้สละทรัพย์สมบัติของเขา การทำอย่างนี้เป็นการช่วยพี่น้องที่ไม่ค่อยมีเงินได้มากจริง ๆ ในที่อื่น ๆ ที่งานของเราถูกสั่งห้าม พี่น้องหลายคนให้ใช้บ้านของพวกเขาจัดการประชุม นี่ทำให้พี่น้องไพโอเนียร์และคนอื่น ๆ ที่ไม่ค่อยมีเงินมีสถานที่ประชุมโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า
10. เราได้อะไรจากการเป็นคนที่มีน้ำใจและชอบให้คนอื่น?
10 ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าประชาชนของพระเจ้า “ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็ก” (ลก. 16:10) พวกเขาใช้ทรัพย์สมบัติเพื่อผลประโยชน์ของคนอื่น คนที่เป็นเพื่อนกับพระยะโฮวารู้สึกอย่างไรกับการเสียสละแบบนี้? พวกเขามีความสุขมากที่ได้รู้ว่าการเป็นคนใจกว้างทำให้พวกเขาได้ “ทรัพย์แท้” ที่อยู่ในสวรรค์ (ลก. 16:11) พี่น้องหญิงคนหนึ่งชอบบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนงานที่เกี่ยวกับรัฐบาลของพระเจ้า เธอเล่าว่า “มันแปลกมากเลย หลายปีมานี้ยิ่งฉันเป็นคนใจกว้างมีน้ำใจให้คนอื่น ใจของฉันก็ยิ่งเปิดกว้างและพยายามจะเข้าใจคนอื่นมากขึ้น และนี่ทำให้ฉันยอมรับคำแนะนำได้ง่ายขึ้น รับมือกับความผิดหวังได้ดีขึ้น แถมยังให้อภัยและอดทนกับคนอื่นมากขึ้นด้วย” หลายคนได้เรียนรู้ว่าการเป็นคนมีน้ำใจทำให้ตัวเขาเองได้รับประโยชน์ด้วย—สด. 112:5; สภษ. 22:9
11. (ก) การเป็นคนใจกว้างเป็นการแสดงอย่างไรว่าเรา “ลงมือทำอย่างฉลาด”? (ข) ประชาชนของพระเจ้าทำตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ “เฉลี่ยกัน” อย่างไร? (ดูภาพแรก)
11 นอกจากนั้น เรายังสามารถ “ลงมือทำอย่างฉลาด” ได้โดยใช้ทรัพย์สมบัติเพื่อสนับสนุนคนอื่นในงานรับใช้ ถึงแม้ตอนนี้เรารับใช้เต็มเวลาหรือย้ายไปรับใช้ในที่ที่มีความจำเป็นไม่ได้ แต่เราก็ยังช่วยคนอื่นได้ (สภษ. 19:17) ตัวอย่างเช่น เงินบริจาคของเราสามารถช่วยค่าใช้จ่ายในการพิมพ์หนังสือต่าง ๆ และสนับสนุนงานประกาศ ในประเทศที่ยากจนซึ่งมีคนมากมายกำลังเข้ามาเรียนความจริง แต่คัมภีร์ไบเบิลในประเทศเหล่านั้นมีราคาแพงมาก เช่น ในคองโก มาดากัสการ์ และรวันดา คัมภีร์ไบเบิลหนึ่งเล่มอาจมีราคาเท่ากับค่าแรง 1 อาทิตย์หรือ 1 เดือนเลยด้วยซ้ำ เป็นเวลาหลายปีที่พี่น้องต้องเลือกว่าจะเอาเงินไปซื้ออาหารให้ครอบครัวหรือซื้อคัมภีร์ไบเบิลสักเล่มหนึ่ง แต่ตอนนี้ เนื่องจากเงินบริจาคของพี่น้องคนอื่น ๆ และการทำตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ “เฉลี่ยกัน” องค์การของพระยะโฮวาจึงแปลและแจกจ่ายคัมภีร์ไบเบิลฟรีให้กับทุกคน สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวรวมทั้งคนที่มาศึกษาคัมภีร์ไบเบิลจึงมีคัมภีร์ไบเบิลเป็นของตัวเอง (อ่าน 2 โครินธ์ 8:13-15) ดังนั้น ทั้งคนที่ให้และคนที่รับจึงได้มาเป็นเพื่อนกับพระยะโฮวา
ฉันจะยุ่งเกี่ยวกับระบบการค้าของโลกให้น้อยลงได้อย่างไร?
12. อับราฮัมแสดงอย่างไรว่าเขาเชื่อและวางใจในพระเจ้า?
12 เราเป็นเพื่อนกับพระยะโฮวาได้ถ้าเรายุ่งเกี่ยวกับระบบการค้าของโลกให้น้อยลงและพยายามแสวงหา “ทรัพย์แท้” นี่เป็นสิ่งที่อับราฮัมผู้ซื่อสัตย์ทำ เขาเชื่อฟังพระยะโฮวาและยอมย้ายออกจากเมืองเออร์ซึ่งเป็นเมืองที่ร่ำรวยไปอยู่ในเต็นท์เพราะเขาอยากเป็นเพื่อนกับพระยะโฮวา (ฮบ. 11:8-10) อับราฮัมเชื่อและวางใจในพระเจ้ามากกว่าทรัพย์สมบัติเสมอ (ปฐก. 14:22, 23) พระเยซูกระตุ้นทุกคนให้เลียนแบบความเชื่อของอับราฮัม ครั้งหนึ่งพระเยซูบอกชายหนุ่มคนหนึ่งที่รวยว่า “ถ้าคุณอยากทำความดีให้ครบจริง ๆ ก็ให้ไปขายทรัพย์สมบัติและเอาเงินไปแจกคนจน คุณจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วตามผมมา” (มธ. 19:21) ชายหนุ่มคนนั้นไม่มีความเชื่อเหมือนอับราฮัม แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีคนอื่นที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า
13. (ก) เปาโลให้คำแนะนำอะไรกับทิโมธี? (ข) เราจะทำตามคำแนะนำของเปาโลอย่างไรในทุกวันนี้?
13 ทิโมธีเป็นคนที่มีความเชื่อ เปาโลเรียกทิโมธีว่า “ทหารที่ดีของพระคริสต์เยซู” และบอกเขาว่า “ทหารประจำการที่อยากให้นายพอใจคงไม่มัวยุ่งอยู่กับการค้าขายหาเลี้ยงชีพ” (2 ทธ. 2:3, 4) สาวกของพระเยซูในทุกวันนี้ซึ่งรวมถึงผู้รับใช้เต็มเวลามากกว่า 1 ล้านคนพยายามเต็มที่ที่จะทำตามคำแนะนำนี้ของเปาโล พวกเขาไม่ยอมแพ้การล่อใจที่มีอยู่ในโฆษณาต่าง ๆ ของโลกที่เห็นแก่ตัวในทุกวันนี้ พวกเขาจำหลักการข้อหนึ่งได้ดีที่บอกว่า “คนที่ยืมจะเป็นทาสของคนให้ยืม” (สภษ. 22:7) ซาตานอยากให้เราทุ่มเทเวลาและพลังทั้งหมดให้กับระบบการค้าของโลก บางคนยอมเป็นหนี้ก้อนโตเพื่อจะมีบ้าน รถยนต์ การศึกษา หรือแม้กระทั่งเพื่อจัดงานแต่งงาน ถ้าเราไม่ระวัง เราอาจต้องใช้หนี้อยู่หลายปี ดังนั้น เราสามารถ “ลงมือทำอย่างฉลาด” โดยการใช้ชีวิตเรียบง่าย พยายามไม่สร้างหนี้ และใช้เงินให้น้อยลง การทำแบบนี้จะช่วยเราให้รับใช้พระเจ้าได้อย่างอิสระแทนที่จะเป็นทาสของระบบการค้าในโลกทุกวันนี้—1 ทธ. 6:10
14. เราควรตั้งใจทำอะไร? ขอยกตัวอย่าง
14 เพื่อจะมีชีวิตที่เรียบง่าย เราต้องให้การปกครองของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต สามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ที่ทำกำไรได้มาก แต่พวกเขาอยากกลับไปรับใช้เต็มเวลาอีกจึงตัดสินใจขายธุรกิจ ขายเรือและทรัพย์สมบัติอื่น ๆ จากนั้นก็อาสาสมัครไปช่วยงานก่อสร้างสำนักงานใหญ่ที่วอร์วิก นิวยอร์ก พวกเขารู้สึกดีมากที่ได้ทำงานนี้ เพราะนี่ทำให้พวกเขามีโอกาสได้รับใช้ที่เบเธลกับลูกสาวและลูกเขย และในบางอาทิตย์ก็ยังมีโอกาสได้ทำงานกับพ่อแม่ของสามีซึ่งมาช่วยงานที่วอร์วิกด้วยเหมือนกัน อีกตัวอย่างหนึ่งคือพี่น้องหญิงที่รับใช้เป็นไพโอเนียร์ที่รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา เธอได้งานพาร์ทไทม์
ในธนาคารแห่งหนึ่ง หัวหน้างานชอบที่เธอทำงานดีจนเสนอให้ทำงานเต็มเวลาซึ่งจะทำให้เธอได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น 3 เท่า แต่ถ้ารับงานนี้ เธอก็จะรับใช้ได้ไม่เต็มที่ เธอจึงปฏิเสธข้อเสนอที่ล่อใจนั้น นี่เป็นเพียงบางตัวอย่างของผู้รับใช้พระยะโฮวาหลายคนที่เสียสละ ถ้าเราตั้งใจให้การปกครองของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต เราก็แสดงให้เห็นว่า เราเห็นค่าความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้าและเห็นค่า “ทรัพย์แท้” มากกว่าทรัพย์สมบัติในโลก“เมื่อทรัพย์นั้นหมด”
15. การร่ำรวยอะไรที่ทำให้เรามีความสุขที่สุด?
15 การที่คนใดคนหนึ่งร่ำรวยเงินทองไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าอวยพรคนนั้น แทนที่จะเป็นอย่างนั้น คนที่ “ร่ำรวยความดี” ต่างหากที่พระยะโฮวาอวยพร (อ่าน 1 ทิโมธี 6:17-19) พี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ชื่อลูชีอา *รู้ว่าที่ประเทศแอลเบเนียมีความต้องการผู้ประกาศ ในปี 1993 เธอจึงตัดสินใจย้ายจากประเทศอิตาลีไปรับใช้ที่นั่น ตอนแรกเธอไม่มีงานทำแต่เธอก็วางใจว่าพระยะโฮวาจะดูแลเธอ พี่น้องลูชีอาเรียนภาษาแอลเบเนียและได้ช่วยคนมากกว่า 60 คนให้อุทิศตัวให้กับพระเจ้า ถึงแม้เขตประกาศของเราอาจไม่เกิดผลมากขนาดนี้ แต่ทุกอย่างที่เราทำเพื่อช่วยคนอื่นให้รู้จักพระยะโฮวาและมาเป็นเพื่อนกับพระองค์จะเป็นสิ่งที่มีค่าในใจของเราตลอดไป—มธ. 6:20
16. (ก) จะเกิดอะไรขึ้นกับระบบการค้าในทุกวันนี้? (ข) เรื่องนี้น่าจะมีผลกระทบอย่างไรกับวิธีที่เรามองทรัพย์สมบัติ?
16 พระเยซูพูดว่า “เมื่อทรัพย์นั้นหมด” ท่านไม่ได้พูดว่า ‘ถ้าทรัพย์นั้นหมด’ (ลก. 16:9) ดังนั้น ท่านบอกชัดเจนว่าระบบการค้าในโลกทุกวันนี้จะจบลงแน่ ๆ ในสมัยสุดท้ายนี้ธนาคารบางแห่งล้มและปิดตัวลง และมีบางประเทศที่ต้องเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ในอนาคตสิ่งต่าง ๆ จะเลวร้ายลงกว่านี้อีก ระบบการเมือง ศาสนา และการค้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโลกซาตานจะจบลง ผู้พยากรณ์เอเสเคียลกับเศฟันยาห์บอกล่วงหน้าว่า เงินกับทองที่ดูเหมือนเป็นส่วนสำคัญของระบบการค้าจะไม่มีค่าอะไรเลย (อสค. 7:19; ศฟย. 1:18) ลองคิดดูว่าถ้าเรากำลังจะตายและเพิ่งมารู้ว่าที่ผ่านมาเราทิ้งทรัพย์แท้เพื่อแลกกับทรัพย์สมบัติที่มีในโลกนี้ เราจะรู้สึกอย่างไร? เราคงรู้สึกเหมือนกับผู้ชายคนหนึ่งที่ทำงานทั้งชีวิตเพื่อจะได้เงินมาก ๆ แต่สุดท้ายก็เพิ่งมารู้ว่าเงินที่ได้มาทั้งหมดเป็นเงินปลอม (สภษ. 18:11) ในอนาคตทรัพย์สมบัติของโลกนี้จะไม่มีค่าอะไร ดังนั้น อย่าพลาดโอกาสที่จะใช้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นในการผูกมิตรกับผู้ที่อยู่ในสวรรค์ ทุกสิ่งที่เราทำให้พระยะโฮวาและรัฐบาลของพระองค์จะทำให้เรามีความสุขจริง ๆ
17, 18. คนที่เป็นเพื่อนกับพระเจ้ารอคอยอะไร?
17 ตอนที่รัฐบาลของพระเจ้ามาปกครอง จะไม่มีใครต้องจ่ายค่าเช่าบ้านหรือกู้หนี้ยืมสิน เราจะได้กินอาหารมากมายฟรี ๆ และไม่ต้องไปเสียตังค์ซื้อยาหรือหาหมอ คนที่เป็นเพื่อนกับพระยะโฮวาจะได้ประโยชน์จากผลผลิตที่ดีที่สุดของโลก จะมีการใช้ทอง เงิน และเพชรพลอยเพื่อเป็นเครื่องประดับที่สวยงามไม่ใช่เพื่อเก็งกำไร เราจะสร้างบ้านสวย ๆ โดยใช้ไม้ หิน และเหล็กที่มีคุณภาพดีที่เราได้มาฟรี ๆ เพื่อน ๆ ของเราจะมาช่วยเราเพราะเขาอยากช่วย ไม่ใช่เพราะเราจ่ายเงินให้เขา เราจะแบ่งผลผลิตทุกอย่างในโลกนี้กัน
18 นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของรางวัลที่มีค่าที่สุดของคนที่เป็นเพื่อนกับผู้ที่อยู่ในสวรรค์ ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาที่อยู่บนโลกจะโห่ร้องด้วยความยินดีตอนที่พวกเขาได้ยินพระเยซูพูดว่า “มาสิ พวกคุณที่ได้รับพรจากพ่อของผม มารับประโยชน์จากรัฐบาลของพระเจ้าที่เตรียมไว้ให้พวกคุณตั้งแต่เริ่มมีโลกนี้”—มธ. 25:34
^ วรรค 4 พระเยซูไม่ได้บอกว่าผู้จัดการคนนี้โกงจริงหรือเปล่า ที่จริง คำว่า “ฟ้อง” ในลูกา 16:1 อาจหมายความว่ามีคนมาใส่ร้ายว่าผู้จัดการคนนี้ทำให้กิจการเสียหาย ในตัวอย่างนี้พระเยซูไม่ได้เน้นสาเหตุที่ผู้จัดการตกงาน แต่เน้นสิ่งที่เขาทำตอนที่รู้ว่าจะตกงาน
^ วรรค 15 อ่านเรื่องราวชีวิตจริงของลูชีอา มูซาเนตต์ ในวารสารตื่นเถิด! 8 กรกฎาคม 2003 น. 18-22