ฉันควรเลิกเรียนหนังสือไหม?
หนุ่มสาวถามว่า
ฉันควรเลิกเรียนหนังสือไหม?
คุณคิดว่าควรเลิกเรียนเมื่อถึงชั้นอะไร?
․․․․․․․․․․
พ่อแม่ของคุณต้องการให้คุณเลิกเรียนเมื่อถึงชั้นอะไร?
․․․․․․․․․․
คำตอบสองข้อข้างบนตรงกันไหม? ถึงแม้คำตอบสองข้อจะตรงกันและคุณยังเรียนหนังสืออยู่ อาจมีบางวันที่คุณอยากจะเลิกเรียนเสียที. คุณเคยรู้สึกเหมือนคำพูดต่อไปนี้ไหม?
● “บางครั้งหนูเครียดจัดและไม่อยากจะลุกจากที่นอนด้วยซ้ำ. หนูคิดว่า ‘ทำไมฉันจะต้องไปโรงเรียนและเรียนวิชาที่ไม่มีวันจะได้ใช้?’”—เรเชล
● “หลายครั้งผมเบื่อโรงเรียนมากและอยากจะเลิกเรียนเสียเลยและหางานทำ. ผมรู้สึกว่าโรงเรียนไม่มีประโยชน์อะไรกับผม และเอาเวลาไปหาเงินดีกว่า.”—จอห์น
● “บางครั้งหนูต้องทำการบ้านวันละสี่ชั่วโมง! หนูรู้สึกว่าต้องทำรายงาน, ส่งโครงงาน, และสอบไม่มีหยุดหย่อนเลย จนคิดว่าทนไม่ไหวแล้วและอยากจะไปให้พ้น.”—ซินดี
● “เราเคยมีการขู่วางระเบิดครั้งหนึ่ง, มีคนพยายามฆ่าตัวตายสามครั้ง, คนหนึ่งฆ่าตัวตายได้สำเร็จ, และมีการยกพวกตีกัน. บางครั้งมันเกินจะทนได้ และหนูอยากจะออกจากโรงเรียน!”—โรส
คุณเคยพบเรื่องคล้าย ๆ กันไหม? ถ้าเคย คุณอยากเลิกเรียนเพราะสาเหตุใด?
․․․․․․․․․․
ตอนนี้คุณอาจกำลังคิดจริงจังว่าจะเลิกเรียนหนังสือ. แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเวลาที่เหมาะแล้วที่จะเลิกเรียน หรือเพราะคุณเพียงแต่เบื่อโรงเรียนและอยากจะไปให้พ้น ๆ? เพื่อจะตอบข้อนี้คงเป็นประโยชน์ที่จะพิจารณาก่อนว่าการเลิกเรียนหมายถึงอะไร.
หยุดเรียนเมื่อถึงเวลาอันควรหรือเลิกเรียนกลางคัน?
คุณจะอธิบายความแตกต่างระหว่างการหยุดเรียนเมื่อถึงเวลาอันควรกับการเลิกเรียนกลางคันอย่างไร?
․․․․․․․․․․
คุณรู้ไหมว่าในบางประเทศ เป็นเรื่องปกติที่เด็กจะเรียนหนังสือเป็นเวลาห้าถึงแปดปี? ส่วนในบางประเทศ เด็กต้องไปโรงเรียนเป็นเวลาสิบถึงสิบสองปี. ดังนั้น ไม่มีการกำหนดว่านักเรียนทุกคนจะต้องไปโรงเรียนจนถึงอายุกี่ปีหรือต้องเรียนถึงชั้นไหนอย่างเท่าเทียมกันทั่วโลก.
นอกจากนั้น บางประเทศหรือบางรัฐอาจยอมให้เด็กเรียนหนังสือที่บ้านบางวิชาหรือทุกวิชา โดยไม่ต้องไปโรงเรียนตามปกติ. แน่นอน นักเรียนที่เรียนหนังสือที่บ้านโดยได้รับความยินยอมและความร่วมมือของพ่อแม่ ไม่ได้เป็นเด็กที่เลิกเรียนหนังสือแล้ว.
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณคิดจะเลิก เรียนหนังสือก่อนจะจบ—ไม่ว่าในโรงเรียนปกติหรือที่บ้าน—คุณก็ต้องพิจารณาคำถามต่อไปนี้:
กฎหมายกำหนดไว้เช่นไร? ดังที่กล่าวไปแล้ว กฎหมายที่กำหนดว่าเด็กต้องเรียนหนังสือเป็นเวลากี่ปีนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละแห่ง. กฎหมายในประเทศคุณกำหนดการศึกษาขั้นต่ำไว้กี่ปี? คุณเรียนครบตามที่กำหนดหรือยัง? ถ้าคุณไม่ใส่ใจคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ “ยอมเชื่อฟังผู้มีอำนาจปกครอง” แล้วเลิกเรียนก่อนจะถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด คุณก็เลิกเรียนก่อนเวลาอันควร.—โรม 13:1
ฉันบรรลุเป้าหมายด้านการศึกษาของฉันแล้วไหม? คุณมีเป้าหมายเช่นไร ซึ่งคุณต้องการให้การศึกษาช่วยคุณบรรลุเป้าหมายนั้น? ยังไม่แน่ใจหรือ? คุณจำเป็นต้องรู้เป้าหมายนั้นให้ได้! ถ้าไม่อย่างนั้น คุณก็เป็นเหมือนผู้โดยสารรถไฟที่ไม่รู้ว่าต้องการจะไปไหน. ดังนั้น จงคุยกับพ่อแม่และเขียนคำตอบสำหรับคำถามแต่ละข้อในกรอบ “เป้าหมายด้านการศึกษาของฉัน” ในหน้า 28. การทำเช่นนั้นจะช่วยให้คุณยึดอยู่กับเป้าหมาย และจะช่วยคุณวางแผนกับพ่อแม่ว่าคุณควรใช้เวลาเรียนหนังสือกี่ปี.—สุภาษิต 21:5
ครูและคนอื่น ๆ คงจะแนะนำว่าคุณควรเรียนต่อถึงชั้นไหน. แต่ที่สุดแล้ว พ่อแม่ของคุณมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้าย. (สุภาษิต 1:8; โกโลซาย 3:20) ถ้าคุณเลิกเรียนก่อนจะบรรลุเป้าหมายด้านการศึกษาที่คุณกับพ่อแม่ตกลงกันไว้ คุณก็เลิกเรียนก่อนเวลาอันควร.
อะไรคือเจตนาที่ฉันต้องการเลิกเรียน? ระวังอย่าหลอกตัวเอง. (ยิระมะยา 17:9) มนุษย์เรามักจะหาเหตุผลที่ดูเหมือนว่าดีเพื่อทำในสิ่งที่เห็นแก่ตัว.—ยาโกโบ 1:22
ตรงนี้ให้เขียนเหตุผลที่ดีที่คุณจะเลิกเรียนหนังสือก่อนกำหนด.
․․․․․․․․․․
ตรงนี้ให้เขียนเหตุผลที่เห็นแก่ตัวที่คุณต้องการจะเลิกเรียน.
․․․․․․․․․․
คุณเขียนเหตุผลที่ดีอะไรไว้บ้าง? ข้อที่เป็นไปได้อาจเป็นการช่วยหาเงินจุนเจือครอบครัว หรือทำงานอาสาสมัครช่วยผู้อื่นเรียนรู้เรื่องพระเจ้า. เหตุผลที่เห็นแก่ตัวอาจเป็นการหลบเลี่ยงการสอบหรือจะได้ไม่ต้องทำการบ้าน. เรื่องที่ยากคือการจะรู้ว่าอะไรเป็นเหตุผลหลักของคุณ เหตุผลที่ดีหรือเหตุผลที่เห็นแก่ตัว?
ตอนนี้ให้ดูจุดต่าง ๆ ที่คุณเขียนไว้ข้างต้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วให้คะแนนความสำคัญตั้งแต่ 1 ถึง 5 สำหรับเหตุผลที่คุณต้องการเลิกเรียนหนังสือ (1 แสดงว่าไม่สำคัญ 5 แสดงว่าสำคัญที่สุด). ถ้าคุณเลิกเรียนเพียงเพราะต้องการหนีปัญหา คุณคงจะต้องประสบเรื่องที่น่าตกใจ.
ผิดตรงไหนหากเลิกเรียนหนังสือก่อนถึงเวลาอันควร?
การเลิกเรียนกลางคันเป็นเหมือนการกระโดดลงจากรถไฟก่อนจะถึงที่หมายปลายทาง. รถไฟอาจไม่สะดวกสบาย และผู้โดยสารก็ไม่เป็นมิตร. แต่ถ้าคุณกระโดดลงจากรถไฟ คุณจะไม่ถึงที่หมายและคงจะได้รับบาดเจ็บสาหัส. คล้ายกัน ถ้าคุณเลิกเรียนก่อนเวลาอันควร คุณอาจไม่บรรลุเป้าหมายด้านการศึกษา และจะก่อปัญหาให้ตัวเองทันทีทันใดและในระยะยาว เช่น:
ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คุณคงจะหางานทำได้ยากขึ้น และถ้าคุณหางานได้ ก็คงจะได้ค่าแรงต่ำกว่างานที่คุณจะหาได้ถ้าคุณสำเร็จการศึกษา. เพื่อจะหาเลี้ยงตัวเองตามมาตรฐานการครองชีพ คุณอาจต้องทำงานนานหลายชั่วโมงภายใต้สภาพแวดล้อมที่คงจะแย่กว่าในโรงเรียนของคุณ ณ ปัจจุบัน.
ปัญหาระยะยาว งานวิจัยแสดงว่าคนที่หยุดเรียนกลางคันมักจะมีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง, มีบุตรเมื่ออายุน้อย, ถูกจำคุก, และต้องพึ่งสวัสดิการสังคม.
จริงอยู่ การเรียนจบไม่ได้รับประกันว่าคุณจะหลีกพ้นปัญหาเหล่านั้น. แต่ทำไมทำให้ตัวเองเสียเปรียบโดยไม่จำเป็นด้วยการเลิกเรียนหนังสือก่อนถึงเวลาอันควร?
ประโยชน์ของการไม่เลิกกลางคัน
จริงอยู่ ถ้าคุณเพิ่งสอบตกหรือเจอเรื่องร้าย ๆ ที่โรงเรียน คุณอาจอยากจะเลิกเรียน. ปัญหาในวันข้างหน้าอาจดูเหมือนไม่สำคัญสักเท่าไรเมื่อเทียบกับสภาพที่เลวร้ายในตอนนี้. แต่ก่อนที่คุณจะหาทางออก “ง่าย ๆ” ให้พิจารณาว่านักเรียนซึ่งเรายกคำพูดขึ้นมาข้างต้นกล่าวไว้อย่างไรเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่เขาได้รับเนื่องจากไม่ได้หยุดกลางคัน.
● “หนูได้เรียนรู้ที่จะเป็นคนอดทนและเข้มแข็ง. หนูได้เรียนรู้ด้วยว่าถ้าต้องการสนุกกับการทำอะไรบางอย่าง ก็
ต้องปรับความคิดของตัวเอง. พร้อม ๆ กันนั้น หนูได้พัฒนาทักษะด้านศิลปะ ซึ่งหนูจะใช้ได้เมื่อเรียนจบ.”—เรเชล● “ตอนนี้ผมรู้ว่าถ้าผมขยัน ผมก็จะบรรลุเป้าหมายได้. ผมกำลังเรียนหลักสูตรวิชาเทคนิคในระดับมัธยมปลายซึ่งจะช่วยผมมีคุณวุฒิสำหรับงานที่ผมอยากจะทำคือเป็นช่างพิมพ์.”—จอห์น
● “โรงเรียนช่วยหนูพัฒนาทักษะในการแก้ปัญหา ไม่ว่าในห้องเรียนหรือที่อื่น. การต้องคิดหาทางแก้ปัญหาในด้านการเรียน, ด้านสังคม, และด้านร่างกายช่วยหนูได้มากที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่.”—ซินดี
● “โรงเรียนช่วยหนูเตรียมพร้อมรับข้อท้าทายเมื่อต้องทำงานอาชีพ. นอกจากนั้น หนูเผชิญหลายสถานการณ์ที่บังคับให้หนูวิเคราะห์เหตุผลสำหรับความเชื่อของตัวเอง ดังนั้น การอยู่ในโรงเรียนช่วยเสริมความเชื่อมั่นทางศาสนาของหนูให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น.”—โรส
กษัตริย์โซโลมอนผู้ชาญฉลาดเขียนว่า “เบื้องปลายแห่งสิ่งใด ๆ ก็ดีกว่าเบื้องต้นแห่งสิ่งนั้น ๆ; มีใจอดกลั้นก็ดีกว่ามีใจอหังการ.” (ท่านผู้ประกาศ 7:8) ฉะนั้น แทนที่จะเลิกกลางคัน จงอดทนฟันฝ่าปัญหาที่โรงเรียนไปให้ได้. ถ้าคุณทำอย่างนั้น ในที่สุดคุณจะพบสิ่งที่ดีกว่าสำหรับตัวเอง.
ถ้าต้องการอ่านบทความชุด “หนุ่มสาวถามว่า” เพิ่มเติม ให้ดาวน์โหลดตื่นเถิด! ฉบับอื่น ๆ จากเว็บไซต์ www.mt1130.com
ข้อชวนคิด
● การมีเป้าหมายด้านการศึกษาระยะสั้นจะช่วยคุณใช้เวลาในโรงเรียนให้คุ้มค่าได้อย่างไร?
● ทำไมจึงสำคัญที่คุณจะคิดไว้บ้างว่าต้องการจะทำงานอาชีพอะไรเมื่อเรียนจบ?
[กรอบ/ภาพหน้า 27]
สิ่งที่คนรุ่นเดียวกับคุณพูด
“โรงเรียนทำให้ดิฉันรักการอ่าน. ดิฉันเพลิดเพลินกับการได้เข้าใจความคิดและความรู้สึกของอีกคนหนึ่งผ่านทางตัวหนังสือ.”
“ผมมักจะมีปัญหาเรื่องการจัดลำดับความสำคัญ. แต่ถ้าไม่ได้ไปโรงเรียน ผมคงจะมีปัญหาหนักกว่านี้! โรงเรียนช่วยผมรักษากิจวัตร, ทำตามตารางเวลา, และทำสิ่งที่สำคัญให้เสร็จ.”
[ภาพ]
เอสเม
คริสโตเฟอร์
[กรอบหน้า 28]
เป้าหมายด้านการศึกษาของฉัน
เป้าหมายหลักของการศึกษาคือเพื่อเตรียมคุณสำหรับงานอาชีพซึ่งจะช่วยคุณหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวที่คุณอาจจะมีในวันข้างหน้า. (2 เทสซาโลนิเก 3:10, 12) คุณได้ตัดสินใจหรือยังว่าต้องการทำงานอะไรและจะใช้เวลาในโรงเรียนอย่างไรเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานนั้น? เพื่อช่วยคุณรู้ว่าการศึกษานำคุณไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ จงตอบคำถามต่อไปนี้:
จุดแข็งของฉันคืออะไร? (ตัวอย่างเช่น คุณมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนได้ดีไหม? คุณชอบทำงานด้วยมือ เช่น การประดิษฐ์หรือการซ่อมไหม? คุณวิเคราะห์และแก้ปัญหาได้ดีไหม?)
․․․․․․․․․․
งานอาชีพใดที่ทำให้ฉันมีโอกาสได้ใช้จุดแข็งของตัวเอง?
․․․․․․․․․․
ในพื้นที่ที่ฉันอยู่จะหางานอาชีพอะไรได้บ้าง?
․․․․․․․․․․
ฉันกำลังเรียนหลักสูตรอะไรอยู่เพื่อเตรียมฉันไว้สำหรับตลาดแรงงาน?
․․․․․․․․․․
ฉันมีทางเลือกอะไรบ้างด้านการศึกษาซึ่งจะช่วยฉันบรรลุเป้าหมายได้ดีขึ้น?
․․․․․․․․․․
จำไว้ว่า เป้าหมายของคุณคือที่จะสำเร็จการศึกษาในสายที่คุณจะใช้ได้. ดังนั้น อย่าเป็นคนที่ “อยู่บนรถไฟ” ไปตลอดกาล หรือเรียนไปนาน ๆ เพื่อจะหลบเลี่ยงหน้าที่รับผิดชอบของการเป็นผู้ใหญ่.
[กรอบหน้า 29]
ถึงคุณพ่อคุณแม่
“ครูของผมน่าเบื่อ!” “หนูมีการบ้านมากเกินไป!” “แค่จะสอบให้ผ่านนั้นก็ยากเหลือเกิน—ทำไมจะต้องพยายามขนาดนั้น?” เนื่องจากรู้สึกไม่พอใจเช่นนี้ เยาวชนบางคนจึงอยากเลิกเรียนหนังสือก่อนจะได้เรียนรู้ทักษะเพื่อการหาเลี้ยงชีพ. ถ้าลูกของคุณไม่อยากเรียนหนังสืออีกต่อไป คุณจะทำอย่างไร?
ตรวจสอบทัศนะของคุณเองในเรื่องการศึกษา. คุณเคยมองว่าการเรียนหนังสือนั้นเป็นการเสียเวลาเปล่าไหม เป็นเหมือน ‘การติดคุก’ ที่คุณเคยต้องทนจนกระทั่งถึงวันที่จะได้ออกไปทำสิ่งที่น่าสนใจกว่า? ถ้าเป็นเช่นนั้น ทัศนะของคุณต่อการเรียนอาจมีผลกระทบถึงลูกของคุณ. ข้อเท็จจริงก็คือ ความรู้รอบด้านจะช่วยลูกรับเอา “สติปัญญาที่ใช้ได้จริงและความสามารถในการคิด”—คุณลักษณะที่จำเป็นเพื่อจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ.—สุภาษิต 3:21
จัดหาเครื่องช่วยเสริมการเรียนรู้. เด็กบางคนน่าจะเรียนได้ดีขึ้นหากเขารู้วิธีศึกษา หรือมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การเรียน. สภาพแวดล้อมที่จะศึกษาได้ดีอาจหมายรวมถึงโต๊ะอ่านหนังสือที่ไม่รกรุงรัง มีแสงสว่างเพียงพอและมีเครื่องมือในการค้นคว้า. คุณอาจช่วยลูกให้ก้าวหน้า ไม่ว่าการศึกษาด้านวิชาการหรือเรื่องพระเจ้า—โดยจัดให้มีการฝึกอบรมและสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการคิดใคร่ครวญความรู้ใหม่ ๆ.—1 ติโมเธียว 4:15
ใส่ใจการเรียนของลูก. ควรคิดว่าครูและครูที่ปรึกษาเป็นพันธมิตรของคุณ ไม่ใช่ศัตรู. เข้าพบพวกครู และรู้จักชื่อของเขา. พูดคุยกับเขาเรื่องเป้าหมายและปัญหาของลูก. ถ้าลูกมีผลการเรียนต่ำ พยายามหาสาเหตุ. ตัวอย่างเช่น ลูกคิดไหมว่าการเรียนเก่งทำให้เพื่อนร่วมชั้นกลั่นแกล้ง? มีปัญหากับครูไหม? หลักสูตรเป็นอย่างไร? ลูกควรรู้สึกว่าหลักสูตรนั้นท้าทายความสามารถ ไม่ใช่รู้สึกว่ายากเกินความสามารถ. อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นไปได้คือ อาจมีปัญหาทางสุขภาพไหม เช่น สายตาไม่ดีหรือความบกพร่องในด้านการเรียนรู้?
ยิ่งคุณใส่ใจการเรียนของลูกมากเท่าไร ทั้งด้านวิชาการและเรื่องพระเจ้า ลูกของคุณก็ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น.—สุภาษิต 22:6
[ภาพหน้า 29]
การเลิกเรียนหนังสือกลางคันเป็นเหมือนการกระโดดออกจากรถไฟก่อนถึงที่หมายปลายทาง