จงแสดงความรักใคร่ในวงครอบครัว
จงแสดงความรักใคร่ในวงครอบครัว
“ถ้าเธอทำได้ก็เผาเสียซิ! เผาไปเลย!” โทรุกล้าท้าโยโกะภรรยาของเขา. * “ฉันทำแน่” เธอโต้กลับและทันใดก็จุดไม้ขีดไฟเผารูปที่ทั้งสองถ่ายคู่กัน. แล้วเธอตวาดเสียงดังว่า “ฉันจะเผาบ้านให้หมด!” โทรุโต้กลับโดยรี่เข้าไปตบหน้าภรรยา ยุติการโต้เถียงด้วยการใช้ความรุนแรง.
สามปีก่อนหน้านั้น โทรุกับโยโกะเริ่มใช้ชีวิตร่วมกันเยี่ยงคู่สมรสที่เปี่ยมสุข. แล้วเกิดอะไรที่ผิดพลาดหรือ? แม้โทรุดูท่าทางเป็นคนดี แต่ภรรยาของเขารู้สึกว่าเขาไม่ได้แสดงความรักใคร่ต่อเธอ และไม่ค่อยจะใส่ใจความรู้สึกของเธอ. ดูเหมือนเขาไม่สามารถตอบสนองความรักใคร่ของเธอ. เนื่องจากไม่อาจทนสภาพเช่นนี้ได้ โยโกะเริ่มรู้สึกขุ่นเคืองและโกรธมากขึ้นทุกที. เธอเกิดอาการหลายอย่าง เช่น นอนไม่หลับ, วิตกกังวล, เบื่ออาหาร, หงุดหงิด, และซึมเศร้า และถึงขนาดตื่นตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก. กระนั้น โทรุก็ยังดูเหมือนไม่อนาทรต่อความตึงเครียดที่แผ่ซ่านอยู่ในครอบครัวของเขา. ดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเขา.
“วิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้”
ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยนี้. อัครสาวกเปาโลบอกล่วงหน้าว่าสมัยของเราจะปรากฏลักษณะพิเศษโดยผู้คน “ไม่มีความรักใคร่ตามธรรมชาติ.” (2 ติโมเธียว 3:1-5, ล.ม.) คำเดิมภาษากรีกที่นำมาแปลตรงนี้ว่า “ไม่มีความรักใคร่ตามธรรมชาติ” เกี่ยวพันใกล้ชิดกับถ้อยคำพรรณนาความรักใคร่ตามธรรมชาติที่พบเห็นได้ท่ามกลางสมาชิกครอบครัว. แน่นอน สมัยของเราเห็นการขาดความรักใคร่ดังกล่าว. ถึงหากจะมีความรักใคร่ต่อกัน ทว่าสมาชิกครอบครัวอาจจะไม่ได้แสดง ความรักใคร่ให้เห็น.
ทุกวันนี้ผู้เป็นพ่อแม่จำนวนไม่น้อยไม่รู้ว่าจะแสดงความรักใคร่เอ็นดูต่อลูกของตนอย่างไร. บางคนเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ครอบครัวขาดความรักใคร่ และอาจไม่ตระหนักว่าชีวิตจะเป็นสุขเบิกบานและน่าเพลิดเพลินมากยิ่งขึ้นได้ถ้าเพียงแต่สัมผัสและแสดงความรู้สึกรักใคร่ซึ่งกันและกัน. ดูเหมือนกรณีที่ว่านี้เกิดขึ้นกับโทรุ. ช่วงชีวิตวัยเด็กของเขา พ่อเอาแต่สาละวนอยู่กับงานตลอดเวลา และกลับบ้านตอนดึก. เขาแทบไม่ได้พูดกับโทรุเลย และเมื่อเขาพูด ก็มีแต่คำหยาบคาย. แม่ของโทรุทำงานอาชีพเต็มเวลาเช่นกัน และไม่ได้ใช้เวลามากอยู่กับลูก. โทรทัศน์กลายเป็นพี่เลี้ยงของลูก. ไม่มีแม้แต่การพูดชมเชยและขาดการสื่อความในครอบครัว.
วัฒนธรรมหรือธรรมเนียมปฏิบัติอาจเป็นปัจจัยได้เหมือนกัน. ในภูมิภาคบางส่วนของกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ที่สามีจะแสดงความรักใคร่ต่อภรรยาจะต้องฝืนธรรมเนียมปฏิบัติทั่ว ๆ ไป. หลายประเทศทางตะวันออกและในแอฟริกาถือว่าการแสดงความรักใคร่ด้วยคำพูดหรือโดยการกระทำนั้นเป็นการขัดต่อธรรมเนียม. สามีอาจรู้สึกกระดากปากที่จะพูดกับภรรยาว่า “ผมรักคุณ” หรือ “พ่อรักลูกนะจ๊ะ.” กระนั้นก็ดี เราสามารถได้บท
เรียนจากสัมพันธภาพอันเยี่ยมยอดด้านครอบครัว ซึ่งใช้ในเชิงปฏิบัติได้ตลอดทุกกาลสมัย.ตัวอย่างที่ดีด้านความสัมพันธ์ในครอบครัว
แบบอย่างอันดียิ่งสำหรับครอบครัวจะพบได้ในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างพระยะโฮวาพระเจ้ากับพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์. พระองค์ทั้งสองแสดงความรักซึ่งกันและกันอย่างไม่มีที่ติ. ตลอดเวลายาวนานสุดคณานับ กายวิญญาณองค์นี้ซึ่งต่อมาเป็นพระเยซูคริสต์มีสัมพันธภาพที่น่าชื่นชมยินดีกับพระบิดา. พระองค์ทรงพรรณนาความสัมพันธ์อย่างนั้นว่า “เราได้มาเป็นผู้ที่พระองค์ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษวันแล้ววันเล่า เราชื่นชมยินดีเฉพาะพระพักตร์พระองค์ตลอดเวลา.” (สุภาษิต 8:30, ล.ม.) พระบุตรมั่นพระทัยมากในเรื่องความรักของพระบิดาจนพระองค์สามารถบอกแก่คนทั้งปวงว่าพระยะโฮวาทรงโปรดปรานพระองค์เป็นพิเศษวันแล้ววันเล่า. พระองค์ทรงมีความสุขตลอดเวลาที่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระบิดาของพระองค์.
แม้แต่ขณะที่เป็นมนุษย์อยู่ในโลกนี้ พระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ได้รับคำรับรองที่มั่นใจได้ในความรักอันลึกซึ้งของพระบิดา. หลังจากพระเยซูรับบัพติสมาแล้ว พระองค์ได้ยินพระสุรเสียงจากพระบิดาของพระองค์ตรัสดังนี้: “นี่คือบุตรของเรา ผู้เป็นที่รัก ผู้ซึ่งเราโปรดปราน.” (มัดธาย 3:17, ล.ม.) ช่างเป็นการแสดงความรักที่ให้กำลังใจอย่างแท้จริง ขณะที่พระเยซูเริ่มงานมอบหมายบนแผ่นดินโลก! ทั้งนี้พระองค์คงต้องปลาบปลื้มพระทัยอย่างยิ่งเมื่อได้ยินพระบิดาตรัสแสดงความโปรดปราน ขณะที่ทรงฟื้นความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับสภาพชีวิตช่วงที่พระองค์อยู่ในสวรรค์.
ด้วยเหตุนี้ พระยะโฮวาทรงวางแบบอย่างอันดียิ่งในการแสดงความรักเต็มขนาดต่อครอบครัวสากลของพระองค์. ถ้าเรารับรองพระเยซูคริสต์ เราย่อมได้รับความรักใคร่จากพระยะโฮวาเช่นเดียวกัน. (โยฮัน 16:27, ล.ม.) ถึงแม้เราไม่ได้ยินเสียงจากสวรรค์ เราสามารถมองเห็นความรักของพระยะโฮวาที่ปรากฏในธรรมชาติ, เห็นได้จากการจัดเตรียมเกี่ยวด้วยเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซู, และแนวทางอื่น ๆ อีก. (1 โยฮัน 4:9, 10, ล.ม.) พระยะโฮวาถึงกับสดับคำอธิษฐานของเรา และตอบคำอธิษฐานอย่างที่เป็นประโยชน์มากที่สุดสำหรับพวกเรา. (บทเพลงสรรเสริญ 145:18; ยะซายา 48:17) ขณะที่เราปลูกฝังสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นกับพระยะโฮวา พวกเรารู้สึกขอบคุณและหยั่งรู้ค่ามากยิ่งขึ้นที่พระองค์ทรงใฝ่พระทัยด้วยความรักใคร่.
พระเยซูทรงเรียนจากพระบิดาเกี่ยวกับการแสดงความร่วมรู้สึก, การคำนึงถึงผู้อื่น, ความกรุณา, และความห่วงใยสุดซึ้งต่อผู้อื่น. พระองค์ได้อธิบายดังนี้: “สิ่งใด ๆ ที่ [พระบิดา] ทรงกระทำ พระบุตรก็ทรงกระทำในลักษณะเดียวกัน. เพราะพระบิดาทรงมีความรักใคร่พระบุตร และทรงแสดงให้พระบุตรเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ.” (โยฮัน 5:19, 20, ล.ม.) แล้วเราก็สามารถเรียนรู้ทักษะการแสดงความรักใคร่ได้ด้วยการพิจารณาตัวอย่างที่พระเยซูวางไว้เมื่อพระองค์ยังอยู่บนแผ่นดินโลก.—ฟิลิปปอย 1:8.
ความรักใคร่ในครอบครัว—แสดงอย่างไร?
เพราะ “พระเจ้าทรงเป็นความรัก” และพวกเราถูกสร้าง “ตามแบบฉายาของพระองค์” เราจึงมีศักยภาพที่จะรักและแสดงความรักได้. (1 โยฮัน 4:8; เยเนซิศ 1:26, 27) กระนั้น ความสามารถเช่นนั้นไม่เกิดผลโดยอัตโนมัติ. เพื่อจะแสดงความรักให้ปรากฏ เราต้องรู้สึกรักคู่สมรสและลูกของเราเสียก่อน. จงเป็นคนช่างสังเกตและจดจำคุณลักษณะที่น่ารักของพวกเขา และเพ่งเล็งในส่วนดีเหล่านั้นซึ่งทีแรกอาจดูเหมือนว่าเป็นคุณลักษณะที่ไม่สู้สำคัญนัก. คุณอาจพูดว่า ‘สามี [ภรรยาหรือลูก] ของฉันไม่เห็นจะน่ารักตรงไหน.’ คนเหล่านั้นที่แต่งงานแบบคลุมถุงชนอาจไม่ค่อยจะรักคู่ของตน. บางคู่อาจไม่ต้องการมีบุตรด้วยซ้ำ. กระนั้น ขอพิจารณาว่าพระยะโฮวาทรงรู้สึกอย่างไรต่อภรรยาโดยนัยของพระองค์ ซึ่งได้แก่ชนชาติอิสราเอล ในศตวรรษที่สิบก่อนสากลศักราช. แม้ผู้พยากรณ์ของพระองค์ คือเอลียา ลงความเห็นว่าไม่มีใครอีกแล้วเป็นผู้นมัสการพระยะโฮวาในท่ามกลางชาติอิสราเอลสิบตระกูลนั้น แต่พระยะโฮวาได้พิเคราะห์อย่างรอบคอบถี่ถ้วนและพบว่ามีไพร่พลมากพอสมควร คือรวมทั้งสิ้น 7,000 คนซึ่งเป็นผู้มีคุณสมบัติเป็นที่ชอบในสายพระเนตรของพระองค์. คุณจะเอาอย่างพระยะโฮวาได้ไหม โดยมองหาคุณความดีในตัวบุคคลภายในวงครอบครัวของคุณ?—1 กษัตริย์ 19:14-18.
อย่างไรก็ตาม ที่จะให้สมาชิกในครอบครัวรู้สึกถึงความรักใคร่ของคุณ คุณต้องบากบั่นพยายามแสดงความรักใคร่ออกมา. คราวใดก็ตามที่คุณสังเกตเห็นการกระทำบางอย่างซึ่งควรแก่การยกย่องชมเชย ก็จงพูดชมเชย. เมื่อพรรณนาความสามารถของภรรยา พระคำของพระเจ้าพูดถึงลักษณะที่น่าสนใจของคนในครอบครัวของนางดังนี้: “บุตรของนางก็ลุกขึ้นชมเชยเขา; สามีของนางก็สรรเสริญเขา.” (สุภาษิต 31:28) สังเกตว่าสมาชิกครอบครัวได้แสดงออกซึ่งความหยั่งรู้ค่าต่อกันอย่างไม่อั้น. โดยการพูดชมเชยภรรยา ผู้เป็นบิดาได้วางตัวอย่างที่ดีแก่บุตรชายของตน สนับสนุนเขาให้เป็นคนใจกว้างในการชมเชยคู่ครองเมื่อเขาได้สมรส.
อนึ่ง บิดามารดาควรพูดชมบุตรของตน. การนี้จะช่วยปลูกฝังความนับถือตัวเองในหัวใจบุตร. แท้จริงแล้ว คนเราจะ “รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” ได้อย่างไรถ้าเขาไม่นับถือตนเอง? (มัดธาย 22:39) ในทางกลับกัน ถ้าบิดามารดาเอาแต่ตำหนิบุตรอยู่ร่ำไป ไม่พูดชมเชยแม้แต่น้อย บุตรก็อาจหมดความนับถือตัวเองเสียง่าย ๆ และอาจเห็นว่าเป็นเรื่องยากที่จะแสดงความรักใคร่ต่อผู้อื่น.—เอเฟโซ 4:31, 32.
คุณสามารถพบการช่วยเหลือ
สมมุติว่าคุณไม่ได้เติบใหญ่ขึ้นมาในครอบครัวที่มีความรักล่ะ? คุณก็ยังสามารถเรียนรู้ที่จะแสดงความรักได้. ขั้นแรกคือรับรู้ปัญหาและยอมรับความจำเป็นที่ต้องปรับปรุงแก้ไข. คัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระเจ้ามีส่วนช่วยในเรื่องนี้ได้มากทีเดียว. คัมภีร์ไบเบิลเปรียบได้กับกระจกเงา. เมื่อเราสำรวจตัวเองจากการส่องกระจกโดยนัย ซึ่งได้แก่คำสั่งสอนของคัมภีร์ไบเบิล เราจะเห็นข้อบกพร่อง หรือจุดตำหนิที่อยู่ในความคิดของเราได้. (ยาโกโบ 1:23) เพื่อให้ประสานกับคำสอนของคัมภีร์ไบเบิล เราสามารถปรับเปลี่ยนแนวโน้มใด ๆ ก็ตามที่ไม่เหมาะสม. (เอเฟโซ 4:20-24; ฟิลิปปอย 4:8, 9) เราจำเป็นต้องทำอย่างนั้นอยู่เสมอ ไม่ “เลิกราในการทำสิ่งที่ดีงาม.”—ฆะลาเตีย 6:9, ล.ม.
บางคนอาจพบว่ายากที่จะแสดงออกซึ่งความรักใคร่อันเป็นผลสืบเนื่องจากการอบรมเลี้ยงดูหรือวัฒนธรรมของเขา. อย่างไรก็ตาม การศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้บ่งชี้ว่าอุปสรรคต่าง ๆ ดังกล่าวสามารถเอาชนะได้. ดร. แดเนียล โกลแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตชี้แจงว่า ‘แม้แต่นิสัยที่ได้เรียนรู้เมื่อเยาว์วัยได้ลงรากหยั่งลึกในหัวใจไปแล้ว แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้.’ กว่า 1900 ปีมาแล้ว คัมภีร์ไบเบิลได้ชี้ว่า ด้วยการช่วยเหลือของพระวิญญาณของพระเจ้า แม้ความโน้มเอียงแห่งหัวใจที่ฝังลึกเหนียวแน่นก็ยังดัดแปลงแก้ไขได้. พระคัมภีร์แนะนำเราว่า “จงถอดทิ้งบุคลิกภาพเก่ากับกิจปฏิบัติต่าง ๆ ของมันเสีย และสวมบุคลิกภาพใหม่.”—โกโลซาย 3:9, 10, ล.ม.
เมื่อรู้ปัญหาแล้ว ครอบครัวก็สามารถศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วยการคำนึงถึงความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยน. ยกตัวอย่าง คุณอาจตรวจสอบดูว่า คัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างไรเกี่ยวกับคำ “ความรักใคร่.” และอาจพบข้อคัมภีร์ทำนองนี้ที่ว่า “ท่านทั้งหลายเคยได้ยินถึงความเพียรอดทนของโยบและได้เห็นผลที่พระยะโฮวาทรงประทานแล้วว่า พระยะโฮวาทรงเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่อันอ่อนละมุนและเมตตา.” (ยาโกโบ 5:11, ล.ม.) แล้วพิจารณาเรื่องราวของโยบ เพ่งเล็งวิธีการที่พระยะโฮวาได้ทรงแสดงความรักใคร่อันอ่อนละมุนและความเมตตาต่อโยบ. คุณคงอยากเลียนแบบพระยะโฮ วาอย่างแน่นอนเพื่อจะเป็นคนมีความรักใคร่อันอ่อนละมุนและแสดงความเมตตาต่อครอบครัว.
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเราไม่สมบูรณ์ “เราทุกคนต่างก็พลาดพลั้งกันหลายครั้ง” ทางวาจา. (ยาโกโบ 3:2, ล.ม.) ระหว่างสมาชิกครอบครัว เราอาจไม่ได้ใช้ลิ้นในทางที่เสริมสร้างกันและกัน. ตอนนี้แหละ การอธิษฐานและการวางใจพระยะโฮวามีบทบาทสำคัญ. อย่ายอมแพ้. “จงอธิษฐานอย่างไม่ละลด.” (1 เธซะโลนิเก 5:17, ล.ม.) พระยะโฮวาจะทรงช่วยผู้ที่อยากได้รับความรักใคร่ในครอบครัว รวมทั้งคนที่ต้องการแสดงความรักใคร่ แต่ทว่าไม่กล้าแสดงออก.
นอกจากนั้น พระยะโฮวาทรงกรุณาจัดเตรียมให้การช่วยเหลือภายในประชาคมคริสเตียน. ยาโกโบเขียนดังนี้: “มีผู้ใดในพวกท่านป่วย [ฝ่ายวิญญาณ] หรือ? จงให้เขาเชิญบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ของประชาคมมาหาตน และให้คนเหล่านั้นอธิษฐานเพื่อเขา เอาน้ำมันทาเขาในนามของพระยะโฮวา.” (ยาโกโบ 5:14, ล.ม.) ใช่แล้ว พวกผู้ปกครองในประชาคมพยานพระยะโฮวาช่วยครอบครัวทั้งหลายได้มาก ซึ่งสมาชิกในครอบครัวกำลังมีปัญหาในด้านการแสดงความรักใคร่ซึ่งกันและกัน. แม้ไม่ใช่อายุรแพทย์หรือนักจิตวิทยา พวกผู้ปกครองสามารถช่วยเพื่อนร่วมความเชื่อได้ด้วยความอดทน ไม่ใช่ด้วยการบอกเขาทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ แต่เตือนเขาให้นึกถึงทัศนะของพระยะโฮวาและร่วมอธิษฐานด้วยกันกับเขาและอธิษฐานเพื่อเขา.—บทเพลงสรรเสริญ 119:105; ฆะลาเตีย 6:1, ล.ม.
ในกรณีของโทรุกับโยโกะ คริสเตียนผู้ปกครองรับฟังปัญหาของเขาและให้การชูใจเสมอ. (1 เปโตร 5:2, 3) ในบางโอกาส ผู้ปกครองพร้อมด้วยภรรยาได้แวะเยี่ยมเพื่อโยโกะจะรับประโยชน์จากสตรีคริสเตียนผู้มีประสบการณ์ ซึ่งอาจได้เตือนโยโกะ “ให้ได้สติให้รักสามีของตน.” (ติโต 2:3, 4, ล.ม.) โดยการแสดงถึงความเข้าใจและความรู้สึกร่วมต่อเพื่อนคริสเตียนผู้ทนทุกข์และปวดร้าวใจ พวกผู้ปกครองจึงกลายเป็น “เหมือนที่หลบซ่อนให้พ้นลมและที่กำบังจากพายุฝน.”—ยะซายา 32:1, 2, ล.ม.
ด้วยการช่วยเหลือของพวกผู้ปกครองที่มีใจกรุณา โทรุได้มาตระหนักว่าตัวเองมีปัญหาเกี่ยวกับการแสดงอารมณ์ความรู้สึก และใน “สมัยสุดท้าย” ซาตานโจมตีวงครอบครัว. (2 ติโมเธียว 3:1, ล.ม.) โทรุได้ตัดสินใจจัดการกับปัญหาของตัวเอง. เขาเริ่มจะมองเห็นว่าที่เขาไม่ได้แสดงความรักก็เพราะตัวเองขณะเติบโตขึ้นมานั้นไม่เคยมีใครแสดงความรักต่อเขา. โดยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและอธิษฐานอย่างจริงจัง โทรุจึงค่อย ๆ เริ่มแสดงความรู้สึกตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของโยโกะมากขึ้น.
แม้ว่าโยโกะเคยโกรธเคืองโทรุ แต่ครั้นเธอเข้าใจภูมิหลังทางครอบครัวของสามี อีกทั้งได้เห็นข้อผิดพลาดของตัวเอง เธอจึงพยายามจริงจังที่จะมองหาส่วนดีในตัวเขา. (มัดธาย 7:1-3; โรม 5:12; โกโลซาย 3:12-14, ล.ม.) ด้วยความตั้งใจจริง เธอได้วิงวอนขอพระยะโฮวาประทานกำลังเพื่อจะรักสามีเสมอไป. (ฟิลิปปอย 4:6, 7, ล.ม.) ในที่สุด โทรุก็เริ่มแสดงความรักใคร่ ซึ่งยังความปีติยินดีแก่ภรรยาของเขา.
ใช่แล้ว หากคุณประสบว่ายากที่จะรักและแสดงความรักต่อคนในครอบครัว แต่คุณสามารถเอาชนะอุปสรรคนี้ได้แน่นอน. พระคำของพระเจ้าให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่เรา. (บทเพลงสรรเสริญ 19:7) โดยการตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้, โดยพยายามมองหาส่วนดีของสมาชิกในครอบครัว, โดยการศึกษาพระคำของพระเจ้าและปฏิบัติตาม, โดยหมายพึ่งพระยะโฮวาด้วยการอธิษฐานอย่างจริงจัง, และแสวงการช่วยเหลือจากคริสเตียนผู้ปกครองที่อาวุโส คุณสามารถเอาชนะสิ่งซึ่งอาจดูเหมือนเป็นอุปสรรคใหญ่ระหว่างคุณกับครอบครัว. (1 เปโตร 5:7) คุณจะชื่นชมยินดีได้เช่นเดียวกันกับสามีคนหนึ่งในสหรัฐ. เขาได้รับการสนับสนุนให้แสดงความรักใคร่ต่อภรรยา. ในที่สุดเมื่อเขารวบรวมความกล้าบอกภรรยาว่า “ผมรักคุณ” อาการตอบรับของเธอทำให้เขาตะลึง. เธอพูดทั้งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติว่า “ฉันรักคุณเช่นกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปีที่คุณพูดอย่างนี้.” อย่ารอให้นานขนาดนั้นแล้วถึงจะแสดงความรักใคร่ต่อคู่ชีวิตและลูก ๆ ของคุณ!
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 2 บางชื่อมีการเปลี่ยน.
[ภาพหน้า 28]
พระยะโฮวาทรงจัดเตรียมความช่วยเหลือไว้ในคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระองค์