จงเลียนแบบความเชื่อของเขา
พระเจ้าถือว่าเธอ “เป็นคนชอบธรรมเนื่องจากการกระทำ”
ราฮาบมองออกไปนอกหน้าต่างขณะที่แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องไปทั่วบริเวณที่ราบรอบเมืองเยริโค. กองทัพของชาวอิสราเอลยังปักหลักอยู่ที่นั่น. เมื่อพวกเขาตั้งขบวนและเริ่มเดินวนรอบเมืองอีกครั้ง ฝุ่นคลุ้งตลบไปทั่วและเสียงแตรก็ดังกึกก้อง.
เมืองเยริโคเป็นบ้านเกิดของราฮาบ. เธอรู้จักถนนทุกสาย บ้านทุกหลัง รวมทั้งตลาดและร้านค้าที่คึกคักจอแจ. ยิ่งไปกว่านั้น เธอรู้จักผู้คนที่นี่ดี. ราฮาบสัมผัสได้ว่าความหวาดกลัวของชาวเมืองเพิ่มขึ้นทุกขณะเมื่อเห็นยุทธวิธีที่แปลกประหลาดของกองทัพอิสราเอล คือการเดินเวียนรอบเมืองวันละรอบติดต่อกันหลายวัน. แม้เสียงแตรจะดังก้องไปทั่วทุกมุมถนนและจัตุรัสทุกแห่งในเมืองเยริโค แต่ราฮาบก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวังเหมือนคนอื่น ๆ.
ราฮาบเฝ้าดูกองทหารอิสราเอลที่เริ่มเดินวนรอบเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ของวันที่เจ็ด. ท่ามกลางทหารเหล่านั้น เธอเห็นปุโรหิตเป่าแตรเขาสัตว์และหามหีบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงว่าพระยะโฮวาพระเจ้าอยู่กับพวกเขา. ให้เรานึกภาพราฮาบกำลังวางมือลงบนเชือกสีแดงเข้มที่พาดออกไปนอกหน้าต่างบ้านของเธอซึ่งอยู่บนกำแพงที่ใหญ่โตของเมืองเยริโค. เชือกแดงเส้นนี้เตือนให้ราฮาบคิดถึงความหวังที่เธอและครอบครัวจะรอดพ้นจากการถูกทำลายไปพร้อมกับเมืองนี้. ราฮาบเป็นคนทรยศไหม? พระยะโฮวาไม่ได้คิดเช่นนั้น พระองค์ถือว่าเธอเป็นหญิงที่มีความเชื่อโดดเด่นน่ายกย่อง. ให้เราย้อนกลับไปดูเรื่องราวของราฮาบตั้งแต่ต้น และดูว่าเราจะเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของเธอ.
ราฮาบหญิงโสเภณี
ราฮาบเป็นโสเภณี. เคยมีนักวิจารณ์คัมภีร์ไบเบิลบางคนรู้สึกว่าข้อมูลนี้ฟังดูน่าตกใจมาก พวกเขาจึงบอกว่าราฮาบเป็นเพียงเจ้าของโรงแรมเล็ก ๆ เท่านั้น. แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกชัดเจนว่าเธอเป็นโสเภณีและไม่ปิดบังข้อเท็จจริงใด ๆ. (ยะโฮซูอะ 2:1; ฮีบรู 11:31; ยาโกโบ 2:25) ในสังคมชาวคะนาอัน อาชีพของราฮาบอาจถือว่าเป็นที่ยอมรับได้. แต่วัฒนธรรมหรือประเพณีที่สังคมยอมรับอาจไม่สอดคล้องกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่พระยะโฮวาใส่ไว้ในตัวเราเสมอไป. (โรม 2:14, 15) ราฮาบคงรู้ตัวดีว่าการเป็นโสเภณีเป็นเรื่องไม่ถูกทำนองคลองธรรม. เช่นเดียวกับหลายคนในทุกวันนี้ เธออาจไม่มีทางเลือกและยอมตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น เพราะเธอจำเป็นต้องหาเลี้ยงครอบครัว.
ไม่ต้องสงสัยว่าราฮาบอยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้. บ้านเมืองของเธอเต็มไปด้วยความรุนแรงและการประพฤติที่เสื่อมทรามทางศีลธรรม รวมทั้งการร่วมประเวณีระหว่างญาติพี่น้องและระหว่างคนกับสัตว์. (เลวีติโก 18:3, 6, 21-24) การกระทำที่ต่ำทรามเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วได้รับอิทธิพลจากศาสนา. วิหารต่าง ๆ ส่งเสริมให้มีโสเภณีเพื่อประกอบพิธีทางศาสนา และมีการเผาเด็กทั้งเป็นเพื่อบูชายัญแก่พระบาละและพระโมเล็ก.
พระยะโฮวามองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในแผ่นดินคะนาอัน. ที่จริง เนื่องจากชาวคะนาอันทำเรื่องชั่วช้ามากมาย พระยะโฮวาตรัสว่า “แผ่นดินนั้นเป็นมลทินไป; เหตุฉะนี้เราจะลงโทษแก่แผ่นดินนั้น, และแผ่นดินนั้นจะคายสำรอกชาวเมืองทั้งปวงนั้นออกเสีย.” (เลวีติโก 18:25) พระเจ้า “ลงโทษแก่แผ่นดินนั้น” โดยวิธีใด? พระองค์สัญญากับชาวอิสราเอลว่า “พระยะโฮวา พระเจ้าของเจ้าจะคอยกำจัดชนประเทศเหล่านั้นออกจากข้างหน้าเจ้าทีละน้อย.” (พระบัญญัติ 7:22) หลายศตวรรษก่อนหน้านั้น พระยะโฮวาได้สัญญาว่าจะยกแผ่นดินนี้ให้กับอับราฮามและลูกหลานของเขา และ “พระเจ้า . . . ไม่ตรัสมุสา.”—ทิทุส 1:2; เยเนซิศ 12:7
อย่างไรก็ตาม พระยะโฮวายังบอกล่วงหน้าด้วยว่าบางชนชาติจะต้องถูกกำจัดออกไปจากแผ่นดินคะนาอันอย่างถอนรากถอนโคน. (พระบัญญัติ 7:1, 2) ในฐานะ “ผู้พิพากษาทั้งโลก” ซึ่งมีความชอบธรรม พระองค์สามารถอ่านใจมนุษย์ทุกคนได้และรู้ว่าใครชั่วช้าเลวทรามถึงขนาดที่ไม่อาจกลับตัวกลับใจได้แล้ว. (เยเนซิศ 18:25; 1 โครนิกา 28:9) ราฮาบรู้สึกอย่างไรที่ต้องอาศัยอยู่ในเมืองที่ถูกพระเจ้าพิพากษาลงโทษ? เราได้แต่จินตนาการว่าเธอจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินข่าวที่เล่าลือกันเกี่ยวกับชาวอิสราเอล. เธอรู้ว่าพระเจ้าของอิสราเอลได้ช่วยประชาชนของพระองค์ให้พ้นจากการเป็นทาสที่ถูกกดขี่มานาน และช่วยพวกเขาให้ได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือกองทัพอียิปต์ซึ่งเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุดในยุคนั้น. และตอนนี้ชาวอิสราเอลกำลังจะโจมตีเมืองเยริโค! แต่ผู้คนในเมืองนี้ก็ยังไม่เลิกทำชั่ว. เราไม่แปลกใจที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกชาวคะนาอันเพื่อนร่วมชาติของราฮาบว่า “คนที่ไม่เชื่อฟัง.”—ฮีบรู 11:31
แต่ราฮาบต่างจากคนเหล่านั้น. ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอคงได้ใคร่ครวญถึงเรื่องต่าง ๆ ที่ได้ยินมาเกี่ยวกับชาวอิสราเอลและพระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเขา. พระองค์ต่างจากพระทั้งหลายของชาวคะนาอันอย่างสิ้นเชิง! พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ต่อสู้เพื่อปกป้องประชาชนของพระองค์แทนที่จะเรียกร้องเอาชีวิตของพวกเขา และเป็นพระเจ้าที่ทำให้ผู้นมัสการพระองค์มีศีลธรรมที่สูงส่งแทนที่จะทำให้พวกเขาเสื่อมทรามลง. พระเจ้าองค์นี้ให้เกียรติผู้หญิง ไม่ได้มองว่าพวกเธอเป็นเพียงวัตถุทางเพศที่ซื้อขายได้หรือเป็นส่วนประกอบในพิธีกรรมที่ต่ำช้าน่ารังเกียจ. เมื่อราฮาบรู้ว่าชาวอิสราเอลมาตั้งค่ายอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนและกำลังจะโจมตีเมืองนี้ เธอคงเศร้าใจมากเมื่อคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมชาติของเธอ. พระยะโฮวาสังเกตเห็นราฮาบและเห็นค่าคุณความดีในตัวเธอไหม?
ทุกวันนี้มีหลายคนที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับราฮาบ. พวกเขาไม่มีทางเลือก จำใจต้องใช้ชีวิตแบบไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีและไม่มีความสุข. พวกเขารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าและไม่มีใครเหลียวแล. ตัวอย่างของราฮาบให้กำลังใจเราว่าสำหรับพระเจ้าแล้วทุกคนมีค่าเสมอ. ไม่ว่าเราจะรู้สึกต่ำต้อยเพียงไร “พระองค์ไม่ได้อยู่ไกลจากเราทุกคนเลย.” (กิจการ 17:27) พระเจ้าอยู่ใกล้เรา. พระองค์พร้อมและเต็มใจให้ความหวังแก่ทุกคนที่เชื่อศรัทธาในพระองค์. ราฮาบแสดงความเชื่ออย่างนั้นไหม?
เธอได้ต้อนรับคนสอดแนม
วันหนึ่งก่อนที่กองทัพอิสราเอลจะเดินรอบเมืองเยริโค ชายแปลกหน้าสองคนปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้านของราฮาบ. พวกเขาตั้งใจว่าจะแอบเข้าเมืองโดยไม่ให้ใครเห็น แต่เนื่องจากชาวเมืองกำลังอยู่ในภาวะตึงเครียด หลายคนจึงคอยจับตาดูว่าจะมีชาวอิสราเอลเข้ามาสอดแนมหรือไม่. ด้วยสายตาที่แหลมคม ราฮาบอาจพอมองออกว่าชายทั้งสองเป็นใคร. ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีผู้ชายแวะเวียนมาที่บ้านของเธอ. แต่ชายสองคนนี้ต่างออกไป พวกเขาต้องการเพียงที่พัก ไม่ใช่มารับบริการจากหญิงโสเภณี.
ชายทั้งสองเป็นคนสอดแนมจากค่ายของชาวอิสราเอลจริง ๆ. ยะโฮซูอะผู้เป็นแม่ทัพส่งพวกเขามาสืบดูว่าเมืองเยริโคเข้มแข็ง
หรืออ่อนแอเพียงไร. เมืองเยริโคเป็นเมืองแรกในแผ่นดินคะนาอันที่ชาวอิสราเอลต้องพิชิตให้ได้และอาจเป็นเมืองที่เข้มแข็งที่สุด. ยะโฮซูอะอยากรู้ว่าตัวเขากับทหารของเขาจะต้องเจออะไรบ้าง. ไม่ต้องสงสัยว่าผู้สอดแนมคงจงใจเลือกบ้านของราฮาบ. เมื่อเทียบกับบ้านหลังอื่น บ้านของโสเภณีน่าจะเป็นที่ที่คนแปลกหน้าเข้าออกได้โดยไม่มีใครสังเกต. พวกเขาอาจหวังว่าจะได้ยินข้อมูลที่เป็นประโยชน์บางอย่างซึ่งมีคนเผลอพูดออกมาโดยไม่ทันระวังตัว.คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าราฮาบ “ต้อนรับผู้สอดแนมด้วยใจอารี.” (ยาโกโบ 2:25) เธอพาพวกเขาเข้าไปในบ้านและยอมให้พักอยู่ด้วย แม้จะสงสัยว่าพวกเขาอาจเป็นชาวอิสราเอลที่มาสอดแนม. ราฮาบคงหวังว่าจะได้เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระยะโฮวา พระเจ้าของพวกเขา.
แต่ทันใดนั้น คนของกษัตริย์เมืองเยริโคก็มาถึง! มีข่าวแพร่ออกไปว่าผู้สอดแนมจากอิสราเอลมาที่บ้านราฮาบ. ราฮาบจะทำอย่างไร? ถ้าเธอปกป้องชายแปลกหน้าสองคนนี้ เธอและทุกคนในครอบครัวจะตกอยู่ในอันตรายไหม? ชาวเมืองเยริโคคงต้องฆ่าคนทั้งบ้านแน่ ๆ ถ้าจับได้ว่าเธอให้ที่พักพิงแก่ศัตรู. แต่ตอนนี้ราฮาบมั่นใจแล้วว่าเขาทั้งสองเป็นใคร. ถ้าราฮาบรู้แล้วว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ดีกว่าพระของเธอ นี่ก็เป็นโอกาสที่เธอจะแสดงตัวว่าอยู่ฝ่ายพระยะโฮวามิใช่หรือ?
ราฮาบแทบไม่มีเวลาคิด แต่เธอก็หาวิธีแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว. เธอพาคนสอดแนมไปซ่อนตัวใต้กองต้นป่านที่ตากไว้บนดาดฟ้าหลังคาบ้านของเธอ. แล้วเธอก็พูดกับคนที่กษัตริย์ส่งมาว่า “มีสองคนมาหาข้าพเจ้าจริง, แต่เขามาจากไหนข้าพเจ้าหาทราบไม่: เมื่อปิดประตูเมือง, ในเวลาพลบค่ำ, คนทั้งสองนั้นก็ได้ออกไป: แต่เขาไปทางไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ: จงรีบติดตามไปเถิดคงทันเขา.” (ยะโฮซูอะ 2:4, 5) ลองนึกภาพราฮาบตอนที่เธอมองหน้าคนของกษัตริย์. เธออาจสงสัยว่าพวกเขาจะจับได้ไหมว่าเธอกำลังกลัวจนใจเต้นไม่เป็นส่ำ.
แผนของเธอได้ผล! คนของกษัตริย์รีบไล่ตามพวกเขาไปถึงท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดน. (ยะโฮซูอะ 2:7) ราฮาบคงค่อย ๆ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก. โดยใช้อุบายง่าย ๆ เธอได้หลอกพวกนักฆ่าที่ไม่มีสิทธิ์รู้ความจริงให้ไปผิดทางและช่วยชีวิตผู้รับใช้ของพระยะโฮวาพระเจ้าองค์เที่ยงแท้.
ราฮาบรีบกลับขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วเล่าให้คนสอดแนมฟังว่าเกิดอะไรขึ้น. เธอยังบอกพวกเขาด้วยว่าชาวเมืองเยริโคกำลังเสียขวัญและหวาดกลัวกองทหารอิสราเอล. ข่าวนี้คงต้องทำให้คนสอดแนมตื่นเต้นดีใจ. ชาวคะนาอันที่ชั่วช้าเหล่านี้กำลังหวั่นกลัวฤทธิ์อำนาจของพระยะโฮวา พระเจ้าแห่งอิสราเอล! แล้วราฮาบก็พูดอะไรบางอย่างซึ่งน่าสนใจมากสำหรับเรา. เธอบอกผู้สอดแนมว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของท่านเป็นเจ้าของสวรรค์เบื้องบน, ทั้งแผ่นดินเบื้องล่างด้วย.” (ยะโฮซูอะ 2:11) ข่าวเล่าลือที่เธอได้ยินมาเกี่ยวกับพระยะโฮวา แม้จะไม่มากมายแต่ก็ เพียงพอที่จะทำให้เธอเข้าใจว่าพระเจ้าของอิสราเอลเป็นพระเจ้าที่เธอวางใจได้. เธอมีความเชื่อในพระยะโฮวา.
ราฮาบมั่นใจว่าพระยะโฮวาจะช่วยให้ประชาชนของพระองค์ได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน. ดังนั้น เธอจึงร้องขอความเมตตาจากพวกเขาให้ไว้ชีวิตเธอและครอบครัว. คนสอดแนมทั้งสองก็รับปากพร้อมกับกำชับราฮาบไม่ให้แพร่งพรายเรื่องพวกเขา. ชายทั้งสองยังบอกให้เธอผูกเชือกสีแดงเข้มไว้ที่หน้าต่างบ้านของเธอซึ่งอยู่บนกำแพงเมือง เพื่อทหารอิสราเอลจะปกป้องเธอกับครอบครัวให้ปลอดภัย.—ยะโฮซูอะ 2:12-14, 18
เราได้เรียนความจริงสำคัญข้อหนึ่งเกี่ยวกับความเชื่อจากตัวอย่างของราฮาบ. คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ความเชื่อเกิดจากสิ่งที่ได้ยิน.” (โรม 10:17) ราฮาบได้ยินรายงานข่าวที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจและความยุติธรรมของพระยะโฮวาพระเจ้า เธอจึงเชื่อและวางใจพระองค์. ทุกวันนี้ เราสามารถหาความรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาได้มากกว่าสมัยนั้น. เราจะพยายามรู้จักพระเจ้าให้มากขึ้นและแสดงความเชื่อในพระองค์โดยอาศัยสิ่งที่ได้เรียนจากคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระองค์ไหม?
กำแพงที่ใหญ่โตพังราบ
ราฮาบแนะให้คนสอดแนมไต่เชือกลงมาจากหน้าต่างบ้านของเธอซึ่งอยู่บนกำแพงเมืองแล้วรีบหนีไปยังเขตเทือกเขา. ตามเส้นทางที่ขึ้นไปทางเหนือของเมืองเยริโคมีถ้ำอยู่หลายแห่งระหว่างซอกเขา ซึ่งคนสอดแนมอาจซ่อนตัวได้จนกว่าจะสามารถกลับไปที่ค่ายอย่างปลอดภัยพร้อมกับข่าวดีที่ได้ยินจากราฮาบ.
ต่อมา ชาวเมืองเยริโคคงกลัวจนตัวสั่นเมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระยะโฮวาได้ทำการอัศจรรย์ให้แม่น้ำจอร์แดนหยุดไหลเพื่อให้ชาวอิสราเอลเดินข้ามไปบนดินแห้ง. (ยะโฮซูอะ 3:14-17) แต่สำหรับราฮาบ ข่าวนี้ยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่าเธอคิดไม่ผิดที่เชื่อและวางใจในพระยะโฮวา.
จากนั้น กองทหารอิสราเอลก็เริ่มเดินวนรอบเมืองเยริโควันละหนึ่งรอบ นานถึงหกวัน. แต่เมื่อมาถึงวันนี้ซึ่งเป็นวันที่เจ็ด พวกเขาได้ทำสิ่งที่ต่างไปจากเดิม. ดังที่กล่าวในตอนต้น กองทัพอิสราเอลเริ่มเดินรอบเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ และหลังจากที่เดินวนรอบหนึ่งแล้ว พวกเขาก็ยังเดินต่อไปอีกหลายรอบโดยไม่หยุด. (ยะโฮซูอะ 6:15) ชาวอิสราเอลกำลังทำอะไร?
ในที่สุด เมื่อสิ้นสุดการเดินรอบที่เจ็ดในวันที่เจ็ด กองทหารก็หยุดเดิน. เสียงแตรหยุดลง. ความเงียบสงัดปกคลุมไปทั่ว. ชาวเมืองตกอยู่ในความเครียดและหวาดหวั่น. แล้วเมื่อยะโฮซูอะส่งสัญญาณ ทหารทั้งกองทัพก็โห่ร้องขึ้นพร้อมกันเป็นครั้งแรกด้วยเสียงดังกึกก้องน่าครั่นคร้าม. พวกคนยามที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองเยริโคจะคิดไหมว่านี่เป็นวิธีโจมตีที่แปลกประหลาดอะไรเช่นนี้? แค่โห่ร้องเท่านั้นหรือ? แต่พวกเขาคงคิดเช่นนั้นได้ไม่นาน. กำแพงเมืองใหญ่มหึมาที่พวกเขายืนอยู่เริ่มสั่น. กำแพงที่สั่นสะเทือนราวกับถูกเขย่าเริ่มแตกออกจากกัน แล้วก็พังราบเป็นหน้ากลอง! แต่เมื่อฝุ่นควันจางหายก็เห็นว่ายังมีกำแพงเมืองส่วนหนึ่งเหลืออยู่. บ้านของราฮาบที่อยู่บนกำแพงเมืองตั้งอย่างโดดเด่นเป็นอนุสรณ์แสดงถึงความเชื่อของผู้หญิงคนหนึ่ง. ลองนึกภาพดูสิว่าราฮาบจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นวิธีที่พระยะโฮวาปกป้องคุ้มครองเธอ! * คนในครอบครัวของเธอก็รอดชีวิตอย่างปลอดภัย!—ยะโฮซูอะ 6:10, 16, 20, 21
ประชาชนของพระยะโฮวาก็ยกย่องราฮาบเพราะความเชื่อของเธอเช่นกัน. เมื่อพวกเขาเห็นว่ามีเพียงบ้านหลังเดียวที่ยังตั้งอยู่ได้ท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง พวกเขาก็รู้ว่าพระยะโฮวาปกป้องผู้หญิงคนนี้. ราฮาบและครอบครัวได้รับการคุ้มครองให้รอดพ้นจากการทำลายเมืองที่ชั่วช้านี้. หลังจากนั้น ราฮาบได้รับอนุญาตให้มาอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ค่ายของชาวอิสราเอล. ต่อมา เธอได้มาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวชาวยิว. เธอแต่งงานกับชายชาวอิสราเอลชื่อซัลโมน และมีลูกชายชื่อโบอัศซึ่งเป็นบุคคลที่มีความเชื่อโดดเด่นคนหนึ่ง. โบอัศแต่งงานกับรูทหญิงชาวโมอาบ. * (ประวัตินางรูธ 4:13, 22) กษัตริย์ดาวิดรวมทั้งพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาซึ่งมาประสูติในภายหลังก็เป็นลูกหลานของผู้มีความเชื่อเข้มแข็งเหล่านี้.—ยะโฮซูอะ 6:22-25; มัดธาย 1:5, 6, 16
เรื่องราวของราฮาบแสดงว่าพระยะโฮวาถือว่ามนุษย์ทุกคนมีค่า. พระองค์มองเห็นเราแต่ละคน พระองค์อ่านใจเราได้ และพระองค์ปลาบปลื้มยินดีเมื่อเห็นประกายแห่งความเชื่อในใจของเราเช่นเดียวกับราฮาบ. ความเชื่อของราฮาบกระตุ้นให้เธอลงมือทำ. คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า พระเจ้าถือว่าเธอ “เป็นคนชอบธรรมเนื่องจากการกระทำ.” (ยาโกโบ 2:25) นับว่าฉลาดสุขุมจริง ๆ ที่เราจะเลียนแบบความเชื่อของเธอ!
^ วรรค 27 น่าสนใจว่าพระยะโฮวายอมรับและทำตามข้อตกลงที่คนสอดแนมทั้งสองได้ให้ไว้กับราฮาบ.
^ วรรค 28 เพื่อเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับรูทและโบอัศ โปรดดูบทความ “จงเลียนแบบความเชื่อของเขา” ในหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 กรกฎาคม และ 1 ตุลาคม 2012.