บทสิบสาม
เขาเรียนรู้จากข้อผิดพลาด
1, 2. (ก) การกระทำของโยนาห์ทำให้เขาและลูกเรือตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร? (ข) เรื่องของโยนาห์จะช่วยเราอย่างไร?
โยนาห์ไม่อยากได้ยินเสียงที่น่ากลัวเหล่านั้น. ไม่ใช่แค่เสียงลมกรรโชกแรงที่ดังหวีดหวิวผ่านสายระโยงเรือหรือเสียงคลื่นยักษ์ที่ซัดกระแทกลำเรือทำให้ไม้ทุกท่อนของเรือดังเอี๊ยดอ๊าด. เสียงที่ทำให้โยนาห์รู้สึกแย่มาก ๆ คือเสียงโหวกเหวกของชาวเรือ ทั้งนายเรือและลูกเรือที่พยายามประคองเรือไว้ไม่ให้จม. โยนาห์รู้ว่าถ้าเรือจม คนเหล่านี้ต้องตายแน่ และทั้งหมดเป็นความผิดของเขา!
2 โยนาห์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร? เพราะเขาทำผิดร้ายแรงต่อพระยะโฮวา พระเจ้าของเขา. เขาได้ทำอะไรหรือ? มันร้ายแรงเกินกว่าจะแก้ไขไหม? คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้สอนเราหลายเรื่อง. ตัวอย่างเช่น เรื่องของโยนาห์ช่วยให้เราเห็นว่าแม้แต่คนที่มีความเชื่อแท้ก็อาจพลาดพลั้งได้ แต่พวกเขาก็แก้ไขได้.
ผู้พยากรณ์จากแกลิลี
3-5. (ก) เมื่อพูดถึงโยนาห์ ผู้คนมักนึกถึงลักษณะนิสัยอะไร? (ข) เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับภูมิหลังของโยนาห์? (ดูเชิงอรรถด้วย) (ค) เหตุใดงานที่โยนาห์ทำในฐานะผู้พยากรณ์คงไม่ง่ายหรือไม่น่ายินดี?
3 เมื่อพูดถึงโยนาห์ คนทั่วไปมักนึกถึงลักษณะนิสัยในด้านลบ เช่น การไม่เชื่อฟังพระเจ้าหรือแม้แต่ความดื้อรั้น. ถึงกระนั้น เขาก็มีคุณลักษณะที่ดีหลายอย่าง. อย่าลืมว่าพระยะโฮวาพระเจ้าทรงเลือกโยนาห์ให้เป็นผู้พยากรณ์. พระ
ยะโฮวาคงไม่เลือกเขาให้ทำงานที่มีความรับผิดชอบสูงถ้าเขาเป็นคนไม่ซื่อสัตย์หรือไม่ชอบธรรม.นอกจากลักษณะนิสัยในด้านลบแล้ว โยนาห์ยังมีคุณลักษณะที่ดีด้วย
4 คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกอะไรมากเกี่ยวกับภูมิหลังของโยนาห์. (อ่าน 2 กษัตริย์ 14:25 ) เขามาจากกาท-เฮเฟอร์ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองนาซาเรทแค่ 4 กิโลเมตรเมืองที่พระเยซูคริสต์จะเจริญวัยในอีก 800 ปีต่อมา. * โยนาห์เป็นผู้พยากรณ์ในช่วงที่กษัตริย์ยาระบะอามที่ 2 ปกครองอาณาจักรอิสราเอลสิบตระกูล. ยุคสมัยของเอลียาห์ผ่านไปนานแล้ว และเอลีชาผู้สืบตำแหน่งต่อมาก็เสียชีวิตไปแล้วในช่วงรัชกาลแห่งราชบิดาของยาระบะอาม. ถึงแม้พระยะโฮวาได้ใช้ผู้พยากรณ์ทั้งสองให้กวาดล้างการนมัสการบาอัลไปแล้ว แต่ชาวอิสราเอลก็ยังจงใจทำผิดอีก. ชาวอิสราเอลทำตามกษัตริย์ผู้ “ประพฤติชั่วร้ายในคลองพระเนตรแห่งพระยะโฮวา.” (2 กษัต. 14:24) ดังนั้น งานที่โยนาห์ทำในฐานะผู้พยากรณ์คงไม่ง่ายหรือไม่น่ายินดีแน่ ๆ. แต่โยนาห์ก็ทำงานนั้นอย่างซื่อสัตย์.
5 แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตของโยนาห์ก็มาถึงจุดพลิกผัน. พระยะโฮวามอบหมายงานอย่างหนึ่งให้ซึ่งเขารู้สึกว่ายากจริง ๆ. พระยะโฮวาบอกให้เขาทำอะไร?
“จงลุกขึ้นไปยังนีนะเว”
6. พระยะโฮวามอบหมายงานอะไรให้โยนาห์ และทำไมเขาจึงรู้สึกกลัว?
6 พระยะโฮวาบอกโยนาห์ว่า “จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวกรุงใหญ่นั้น, และร้องประกาศต่อว่าชาวกรุงนั้น, เนื่องด้วยความชั่วของพวกเขาปรากฏขึ้นต่อหน้าเราแล้ว.” (โยนา 1:2) ไม่แปลกที่โยนาห์จะรู้สึกกลัว. กรุงนีเนเวห์อยู่ห่างจากอิสราเอลไปทางตะวันออกประมาณ 800 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลาเดินประมาณหนึ่งเดือน. แต่การเดินทางที่ยาวไกลและยากลำบากดูเหมือนจะเทียบไม่ ได้เลยกับงานที่รออยู่. โยนาห์ต้องไปนีเนเวห์เพื่อประกาศคำพิพากษาของพระยะโฮวาแก่ชาวอัสซีเรียซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นคนรุนแรงและโหดเหี้ยมทารุณ. ถ้าประชาชนของพระเจ้ายังแทบจะไม่ตอบรับข่าวสารของเขา เขาจะหวังอะไรได้จากคนนอกรีตพวกนั้น? ผู้รับใช้พระเจ้าคนนี้จะเป็นอย่างไรเมื่อต้องทำงานเพียงลำพังในกรุงนีเนเวห์อันกว้างใหญ่ซึ่งต่อมาจะได้ชื่อว่า “นครอันแปดเปื้อนไปด้วยโลหิต.”—นาฮูม 3:1, 7
7, 8. (ก) โยนาห์ทำอะไรที่แสดงว่าเขาตั้งใจหนีงานมอบหมาย? (ข) ทำไมเราไม่ควรด่วนตัดสินว่าโยนาห์เป็นคนขี้ขลาด?
7 เราไม่รู้ว่าตอนนั้นโยนาห์คิดอะไรอยู่ เขาอาจคิดถึงเรื่องเหล่านี้ก็ได้. แต่สิ่งที่เรารู้คือเขาหนีงานมอบหมาย. พระยะโฮวาสั่งให้โยนาห์ไปทางตะวันออก แต่โยนาห์กลับมุ่งหน้าไปทางตะวันตกและไปไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้. เขาไปที่ชายฝั่งทะเล ไปที่เมืองท่าชื่อยบเป แล้วก็พบเรือลำหนึ่งที่กำลังจะไปเมืองทาร์ชิช. ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า เมืองทาร์ชิชอยู่ที่ประเทศสเปน. ถ้าเป็นเช่นนั้น โยนาห์ก็กำลังมุ่งหน้าไปไกลจากนีเนเวห์ถึง 3,500 กิโลเมตร. การเดินทางข้ามทะเลใหญ่ไปจนสุดฝั่งตะวันตกอาจต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปี! นี่แสดงว่าโยนาห์ตั้งใจจะหนีงานมอบหมายจริง ๆ.—อ่านโยนา 1:3
8 นี่หมายความว่าโยนาห์เป็นคนขี้ขลาดไหม? เราไม่ควรด่วนตัดสินอย่างนั้น. บันทึกเรื่องนี้จะทำให้เห็นว่า จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนกล้าหาญ. โยนาห์เป็นคนไม่สมบูรณ์และมีข้อบกพร่องหลายอย่างไม่ต่างจากเรา. (เพลง. 51:5) มีใครบ้างที่ไม่เคยรู้สึกกลัว?
9. บางครั้งเราอาจรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับงานที่พระยะโฮวามอบหมายให้ และเราไม่ควรลืมอะไร?
9 บางครั้งเราอาจรู้สึกว่าสิ่งที่พระเจ้าบอกให้เราทำเป็นเรื่องยากเกินไปหรือคิดว่าทำไม่ได้. เราอาจกลัวที่จะประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าแม้จะรู้ว่าเป็นงานที่พระองค์มอบหมายให้คริสเตียน. (มัด. 24:14) เราไม่ควรลืมคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “พระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้” ซึ่งหมายความว่าด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้าเราสามารถทำตามพระบัญชา ของพระองค์ได้. (มโก. 10:27) ไม่แปลกที่โยนาห์จะรู้สึกกลัวและหนีงานมอบหมายเพราะบางครั้งเราเองก็หลงลืมคำตรัสของพระเยซูเช่นกัน. แต่การที่โยนาห์ทำอย่างนั้นก่อผลเช่นไร?
พระยะโฮวาตีสอนผู้พยากรณ์ที่ดื้อรั้น
10, 11. (ก) โยนาห์คงหวังอะไรขณะที่เรือออกจากท่า? (ข) เรือและลูกเรือประสบภัยอะไร?
10 ลองนึกภาพตอนที่โยนาห์ลงเรือซึ่งอาจเป็นเรือสินค้าของชาวฟินิเซีย และเดินหาที่เหมาะ ๆ ที่เขาจะพักพิงได้ตลอดการเดินทางที่ยาวไกล. เขามองดูนายเรือและพวกลูกเรือที่วุ่นอยู่กับการเอาเรือออกจากท่า. ขณะที่เรือแล่นออกจากฝั่งไปเรื่อย ๆ จนมองไม่เห็นชายฝั่ง โยนาห์คงหวังว่าจะหนีจากงานมอบหมายที่เขาหวาดกลัวได้แล้ว. แต่ทันใดนั้นสภาพอากาศก็เปลี่ยนไป.
11 กระแสลมที่พัดแรงทำให้ทะเลปั่นป่วนน่ากลัวและเกิดคลื่นยักษ์ ซึ่งขนาดของคลื่นนั้นทำให้เรือใหญ่ในสมัยปัจจุบันดูเล็กไปเลย. เรือไม้ที่ดูเล็กกระจ้อยร่อยและบอบบางจะทนคลื่นยักษ์ที่ปั่นป่วนได้นานแค่ไหน? ตอนนั้นโยนาห์รู้ที่มาของพายุไหม? เราไม่รู้คำตอบ. แต่ในเวลาต่อมาเขาเขียนว่า “[พระยะโฮวา] ทรงบันดาลให้เกิดพายุใหญ่เหนือทะเล.” โยนาห์เห็นลูกเรือพากันร้องขอความช่วยเหลือจากพระทั้งหลายของพวกเขา และโยนาห์รู้ว่าพระเหล่านั้นไม่สามารถช่วยได้. (เลวี. 19:4) บันทึกของเขาบอกว่า “เรือแทบจะอับปางอยู่รอมร่อ.” (โยนา 1:4, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย ) แล้วโยนาห์จะกล้าอธิษฐานถึงพระเจ้าที่เขาหนีมาไหม?
12. (ก) ทำไมเราไม่ควรด่วนตัดสินโยนาห์เพราะเขานอนหลับสนิท? (ดูเชิงอรรถด้วย) (ข) พระยะโฮวาเปิดเผยคนที่เป็นต้นเหตุของพายุนี้อย่างไร?
12 โยนาห์คงคิดว่าเขาช่วยอะไรไม่ได้ จึงลงไปใต้ดาดฟ้าเรือแล้วหาที่ล้มตัวลงนอน. ไม่นานโยนาห์ก็หลับสนิท. * นายเรือเห็นโยนาห์นอนอยู่จึงเดิน ไปปลุก แล้วบอกให้เขาอธิษฐานถึงพระของเขาเหมือนที่คนอื่น ๆ กำลังทำอยู่. พวกลูกเรือมั่นใจว่าพายุนี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ พวกเขาจึงจับฉลากกันเพื่อจะรู้ว่าใครเป็นต้นเหตุ. โยนาห์คงใจคอไม่ดีเมื่อฉลากถูกจับไปทีละอัน ๆ และยังไม่พบตัวต้นเหตุ. แต่ไม่ช้าความจริงก็ปรากฏ. พระยะโฮวาบันดาลให้เกิดพายุนี้และทำให้ฉลากตกอยู่กับโยนาห์เพราะเขาไม่เชื่อฟังพระองค์.—อ่านโยนา 1:5-7
13. (ก) โยนาห์สารภาพกับลูกเรือว่าตนได้ทำอะไร? (ข) โยนาห์บอกให้ลูกเรือทำอะไร และทำไม?
13 โยนาห์เล่าเรื่องทั้งหมดให้ลูกเรือฟัง. โยนาห์บอกว่าเขาเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาพระเจ้าองค์ทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่. เขาหนีจากพระเจ้าองค์นี้มา พระองค์จึงพิโรธ ทำให้พวกลูกเรือต้องตกอยู่ในภัยอันตรายที่น่ากลัว. พวกเขาตกตะลึง โยนาห์มองเห็นความหวาดกลัวในแววตาของพวกเขา. พวกเขาถามโยนาห์ว่าจะให้ทำอย่างไรเพื่อเรือจะไม่จมและพวกเขาจะรอดชีวิต. โยนาห์ตอบอย่างไร? เขาพูดว่า “จงจับตัวเราโยนลงไปในทะเลก็แล้วกัน, ทะเลก็จะสงบลง, เพราะเรารู้อยู่ว่าที่ทะเลเกิดปั่นป่วนเช่นนี้ก็เนื่องมาจากตัวเรานี่เอง.” (โยนา 1:12) แม้ว่าโยนาห์รู้สึกกลัวมากเมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องจมน้ำตายในทะเลที่เย็นยะเยือกและบ้าคลั่งนี้. แต่เขาปล่อยให้คนเหล่านี้ตายไม่ได้เมื่อรู้ว่าตนสามารถช่วยพวกเขาได้.
14, 15. (ก) เราจะเลียนแบบความเชื่อของโยนาห์ได้อย่างไร? (ข) ตอนแรกลูกเรือทำอะไรเมื่อโยนาห์บอกให้โยนเขาลงในทะเล?
14 คำพูดดังกล่าวไม่ใช่คำพูดของคนขี้ขลาด. พระยะโฮวาคงปลื้มพระทัยที่เห็นโยนาห์แสดงความกล้าและมีน้ำใจเสียสละในเวลาคับขันเช่นนั้น. เหตุการณ์นี้ทำให้เห็นว่าโยนาห์มีความเชื่อที่เข้มแข็ง. เราสามารถเลียนแบบโยนาห์ได้โดยคิดถึงสวัสดิภาพของผู้อื่นก่อน. (โย. 13:34, 35) ถ้าบางคนต้องการความช่วยเหลือ เช่น ขาดสิ่งจำเป็นด้านวัตถุ รู้สึกท้อแท้ต้องการการหนุนใจ หรืออยากมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวา เราพร้อมจะช่วยพวกเขาไหม? ถ้าเราทำอย่างนั้นพระยะโฮวาจะพอพระทัยเรามาก.
15 ลูกเรือเหล่านั้นอาจรู้สึกซาบซึ้งใจด้วย เพราะตอนแรกพวกเขาไม่ยอมทำตามที่โยนาห์บอก. แทนที่จะจับโยนาห์โยนลงทะเล พวกเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะฝ่าพายุไปได้แต่ไม่ได้ผล. พายุยิ่งโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ. ในที่สุด เมื่อเห็นว่าไม่มีทางเลือกแล้ว พวกเขาจึงวิงวอนต่อพระเจ้าของโยนาห์ให้โปรดเมตตาพวกเขา แล้วก็จับโยนาห์โยนข้ามกราบเรือทิ้งลงในทะเล.—โยนาห์ได้รับพระเมตตาและการช่วยให้รอด
16, 17. จงพรรณนาว่าเกิดอะไรขึ้นกับโยนาห์ตอนที่ถูกโยนลงในทะเล. (ดูภาพด้วย)
16 โยนาห์ตกลงในคลื่นทะเลที่บ้าคลั่ง. เขาอาจพยายามกระเสือกกระสนให้ตัวลอยอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อมองผ่านฟองคลื่นกับน้ำที่แตกกระเซ็น เขาก็เห็นเรือกำปั่นแล่นห่างออกไปอย่างรวดเร็ว. แต่แล้วคลื่นระลอกใหญ่ก็โถมซัดมาบนตัวเขาทำให้เขาจมลงไปใต้น้ำ. เขาจมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ และรู้ตัวว่าหมดทางรอดแน่.
17 หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป โยนาห์อธิบายว่าเขารู้สึกอย่างไรในตอนนั้น. ภาพต่าง ๆ คงหลั่งไหลเข้ามาในความคิด. เขารู้สึกว่าตัวเองจมลงไปลึกมากจนเกือบถึงก้นทะเลและมีสาหร่ายมาพันตัวเขา. ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้กำลังจะเป็นหลุมฝังศพของเขา.—อ่านโยนา 2:2-6
18, 19. เกิดอะไรขึ้นกับโยนาห์ตอนที่อยู่ใต้ทะเล ตัวอะไรกลืนโยนาห์เข้าไป และใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้? (ดูเชิงอรรถด้วย)
18 แต่เดี๋ยวก่อน นั่นมันตัวอะไร! มีอะไรบางอย่างเคลื่อนใกล้เข้ามา มันคือสิ่งมีชีวิตตัวมหึมาซึ่งเห็นเป็นเงาตะคุ่ม ๆ. มันว่ายเข้ามาใกล้แล้วพุ่งตรงมาที่เขา. มันอ้าปากกว้างและกลืนโยนาห์เข้าไป!
19 นี่คงเป็นจุดจบของเขา. แต่โยนาห์รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ. เขายังไม่ตาย! อวัยวะทุกส่วนของเขายังอยู่ครบ เขาไม่ได้ถูกย่อยและยังหายใจได้ด้วยซ้ำ. เขายังมีชีวิตอยู่ แม้จะอยู่ในท้องปลา. โยนาห์เริ่มรู้สึกเกรงขาม. คง *—โยนา 1:17
ต้องเป็นพระยะโฮวาพระเจ้าของเขาแน่ ๆ ที่ได้ “เตรียมปลาใหญ่ไว้ตัวหนึ่งสำหรับให้กลืนโยนาเข้าไป.”20. คำอธิษฐานของโยนาห์บอกให้เรารู้อะไรเกี่ยวกับเขา?
20 เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า. ในความมืดสนิทนั้นโยนาห์มีเวลาที่จะใคร่ครวญและอธิษฐานถึงพระยะโฮวาพระเจ้า. คำอธิษฐานของเขาซึ่งบันทึกไว้อย่างครบถ้วนในหนังสือโยนาบท 2 ทำให้เรารู้อะไรหลายอย่าง. บันทึกดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าโยนาห์มีความรู้เรื่องพระคัมภีร์มากโยนา 2:9
ทีเดียว เพราะเขาอ้างถึงบทเพลงสรรเสริญบ่อย ๆ. นอกจากนี้ บันทึกของโยนาห์ยังแสดงถึงคุณลักษณะที่น่าประทับใจอีกอย่างหนึ่งของเขา คือความกตัญญู. โยนาห์ลงท้ายคำอธิษฐานว่า “ฝ่ายข้าพเจ้าถวายเครื่องบูชาแก่พระองค์ด้วยออกเสียงขอบพระคุณพระองค์, ข้าพเจ้าจะแก้สินบนในส่วนที่ข้าพเจ้าได้บนบานไว้; ความรอดนั้นมาจากพระยะโฮวา.”—21. โยนาห์เรียนรู้อะไรในเรื่องความรอด และเราไม่ควรลืมอะไร?
21 คิดดูสิ แม้จะอยู่ “ในท้องปลา” พระยะโฮวายังได้ยินคำอธิษฐานของโยนาห์และช่วยเขาให้รอด. นี่ทำให้โยนาห์รู้ว่าพระยะโฮวาสามารถช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ได้ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนหรือเผชิญสถานการณ์อะไร. (โยนา 1:17) พระยะโฮวาเท่านั้นที่ช่วยมนุษย์ให้อยู่รอดในท้องปลาใหญ่ได้ถึง 3 วัน 3 คืน. พวกเราที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันก็ไม่ควรลืมว่า พระยะโฮวาทรง “กำชีวิตของ [คุณ] ไว้ในอุ้งพระหัตถ์.” (ดานิ. 5:23) เนื่องจากพระเจ้าสร้างเรา เราจึงควรแสดงความกตัญญูรู้คุณโดยเชื่อฟังพระองค์.
22, 23. (ก) ความกตัญญูรู้คุณของโยนาห์ถูกทดสอบอย่างไร? (ข) เราเรียนอะไรได้จากโยนาห์เมื่อเราทำผิด?
22 แล้วโยนาห์ล่ะ? เขาแสดงความกตัญญูรู้คุณโดยเชื่อฟังพระยะโฮวาไหม? แน่นอน. หลังจากผ่านไป 3 วัน 3 คืน ปลาใหญ่ก็พาโยนาห์มาที่ฝั่งและ “สำรอกโยนาออกไว้บนดินแห้ง.” (โยนา 2:10) คิดดูสิ เขาไม่ต้องว่ายน้ำขึ้นฝั่งเอง! แม้โยนาห์จะทำผิดมหันต์แต่พระยะโฮวายังช่วยเขา. แน่ละ เมื่อขึ้นฝั่งแล้วเขาต้องหาทางไปต่อด้วยตนเอง ไม่ว่าที่นั่นคือที่ไหน. แต่หลังจากนั้นไม่นาน ความกตัญญูรู้คุณของโยนาห์ก็ถูกทดสอบ. โยนา 3:1, 2 บอกว่า “เมื่อนั้นคำของพระยะโฮวามายังโยนา ครั้งที่สองว่า, ‘จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวกรุงใหญ่นั้น, และป่าวประกาศแก่กรุงนั้นตามข้อความที่เราสั่งให้เจ้าประกาศนั้น.’” โยนาห์จะทำอย่างไร?
23 โยนาห์ไม่ลังเลเลย. เราอ่านว่า “โยนาก็ได้ลุกขึ้น, และได้ไปยังกรุงนีนะเว, ตามคำสั่งของพระยะโฮวา.” (โยนา 3:3) ใช่แล้ว โยนาห์เชื่อฟัง. เห็นได้ชัดว่าเขาเรียนรู้จากความผิดพลาดของเขา. เราต้องเลียนแบบความเชื่อของโยนาห์ในเรื่องนี้ด้วย. เราทุกคนทำบาป เราพลาดพลั้งกันทั้งนั้น. (โรม 3:23) เมื่อเราทำผิด เราได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดของเรา กลับมาเชื่อฟังและรับใช้พระเจ้าอีกครั้งไหม? หรือเราจะเลิกล้มความพยายาม?
24, 25. (ก) พระยะโฮวาตอบแทนโยนาห์อย่างไรตอนที่เขามีชีวิตอยู่? (ข) ในอนาคต โยนาห์จะได้รับสิ่งตอบแทนอะไรบ้าง?
24 พระยะโฮวาตอบแทนโยนาห์ไหมที่เขาเชื่อฟังพระองค์? แน่นอน เพราะดูเหมือนว่าในเวลาต่อมาโยนาห์ได้ยินจากลูกเรือคนหนึ่งว่าทุกคนรอดชีวิต. พายุสงบลงทันทีเมื่อโยนาห์ถูกโยนลงในทะเล และชาวเรือเหล่านั้นก็ “ยำเกรงพระยะโฮวาเป็นที่ยิ่ง” และได้ถวายเครื่องบูชาแด่พระองค์แทนที่จะถวายแด่พระเท็จของเขา.—โยนา 1:15, 16
25 สิ่งตอบแทนที่ยิ่งใหญ่กว่าเกิดขึ้นในสมัยของพระเยซู. พระองค์เปรียบช่วงเวลาที่โยนาห์อยู่ในท้องปลาใหญ่เป็นภาพพยากรณ์ถึงช่วงเวลาที่พระองค์จะอยู่ในหลุมฝังศพหรือเชโอล. (อ่านมัดธาย 12:38-40 ) นอกจากนั้น ในอนาคตโยนาห์คงจะรู้สึกตื่นเต้นด้วยเมื่อเขาถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้งบนแผ่นดินโลกและรู้เรื่องภาพพยากรณ์นั้น! (โย. 5:28, 29) พระยะโฮวาประสงค์จะอวยพรคุณเช่นกัน. คุณจะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตนเอง เรียนรู้ที่จะเชื่อฟังพระเจ้า และแสดงความรักต่อผู้อื่นเหมือนโยนาห์ไหม?
^ วรรค 4 การที่โยนาห์มาจากแคว้นแกลิลีเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะพวกฟาริซายได้พูดถึงพระเยซูในเชิงดูถูกว่า “ค้นดูสิแล้วจะพบว่า จะไม่มีผู้พยากรณ์สักคนมาจากแกลิลี.” (โย. 7:52) ผู้แปลและนักค้นคว้าหลายคนให้ความเห็นว่าในข้อนี้พวกฟาริซายกำลังพูดแบบเหมารวมว่า ไม่เคยมีและจะไม่มีวันได้เห็นผู้พยากรณ์คนใดมาจากแคว้นแกลิลี. ถ้าพวกฟาริซายหมายความอย่างนั้นจริง แสดงว่าพวกเขาไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์และคำพยากรณ์เลย.—ยซา. 9:1, 2
^ วรรค 12 ฉบับเซปตัวจินต์ เพิ่มข้อความว่าเขานอนกรนเพื่อเน้นว่าโยนาห์นอนหลับสนิทจริง ๆ. อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรคิดว่าการที่โยนาห์หลับสนิทแสดงว่าเขาไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น บางครั้งคนที่ท้อแท้สิ้นหวังก็อาจรู้สึกอ่อนเพลียและอยากนอน. ช่วงที่พระเยซูทุกข์ทรมานพระทัยอยู่ในสวนเกทเซมาเนนานหลายชั่วโมง เปโตร ยาโกโบ และโยฮันก็ “หลับไปเนื่องด้วยความโศกเศร้า.”—ลูกา 22:45
^ วรรค 19 คำว่า “ปลา” ในภาษาฮีบรู เมื่อแปลเป็นภาษากรีกมีการแปลว่า “สัตว์ทะเลตัวใหญ่” หรือ “ปลายักษ์.” ถึงแม้เราไม่แน่ใจว่าสัตว์ทะเลที่กลืนโยนาห์เข้าไปคือตัวอะไร แต่มีการสังเกตว่าปลาฉลามบางชนิดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีขนาดใหญ่พอที่จะกลืนคนได้ทั้งคน. และยังมีปลาฉลามในมหาสมุทรอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่านั้นมาก เช่น ปลาฉลามวาฬซึ่งอาจยาวถึง 15 เมตรหรือกว่านั้น!